บทที่ 3 บทเรียนต่างๆ จากการแสดงความเคารพภักดี

ขณะที่ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ได้ให้ความสำคัญต่อการสู้รบในวันอาชูรอ ท่านได้ออกคำสั่งให้เหล่าบรรดาสาวกของท่านพึงปฏิบัติตนให้เป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮฺ (ซบ.) โดยให้ความสำคัญต่อการแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้า และการยกระดับจิตใจของตนเอง ซึ่งจะขอกล่าวพอเป็นสังเวปดังนี้

1. การให้ความสำคัญต่อนมาซ

1.1 ท่านอิมาม (อ.) ขณะอยู่ในสนามรบ ท่านได้นมาซญะมาอะฮฺพร้อมกับกองคาราวานและทหารฝ่ายศัตรู ประเด็นดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อนมาซของท่านอิมาม (อ.) เป็นการทำลายการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายศัตรู (ที่กล่าว่า ท่านอิมาม (อ.) ออกนอกศาสนาไปแล้ว)

สิ่งที่น่าทึ่งใจคือ ท่านอิมาม (อ.) ได้สั่งบุตรชายของท่านให้อะซาน ซึ่งทำให้บรรดาเด็กๆ ได้มีโอกาสออกมาสู่การนมาซและการแสดงความเคารพภักดี อันเป็นบุคลิกภาพอันสูงส่งของพวกเขา[1]

1.2 ในวันอาชูรอเมื่ออบู ซุมามะฮฺ (อุมะริบนิอับดุลลอฮฺ อัซซออิดียฺ) กล่าวว่า ฉันปรารถนาที่จะนมาซซุฮฺริร่วมกับท่าน

ذکر الصلاة جعلک الله من المصلين الذاکرين

เจ้าคิดถึงนมาซหรือ ขอให้อัลลอฮฺโปรดให้เจ้าเป็นผู้นมาซและเป็นผู้รำลึกย่างแท้จริงด้วยเถิด

ท่านอิมาม (อ.) ขอให้ทหารฝ่ายศัตรูยุติการสู้รบชั่วคราวเพื่อจะได้นมาซ แต่พวกเขานิ่งเฉย ท่านอิมาม (อ.) ได้อะซานด้วยตัวเอง ซุเฮรและสะอีดิบนิอับดุลลอฮฺ ได้ยืนอปกป้องท่านอิมามยู่ด้านหน้า ขณะนั้นมีหทหารฝ่ายศัตรูครึ่งหนึ่งได้นมาซร่วมกับอิมาม วันนั้นท่านอิมาม (อ.) ได้นมาซเคาฟ์ (นมาซท่ามกลางอันตราย)[2]

1.3 การแสดงความเคารพภักดีในค่ำอาชูรอ

ขณะที่ศัตรูได้ห้อมล้อมกองคาราวานของท่านอิมามฮุซัยน (อ.) อยู่นั้น พวกเขาได้เอาม้าวิ่งไปรอบๆ ค่ายที่พัก และจัดตั้งหน่วยสังเกตการไว้ทั้งใกล้และไกลค่ายที่พัก ท่านอิมาม (อ.) และสหายของท่านได้มุ่งมั่นอยู่กับการแสดงความเคารพภักดีต่อพรเจ้าจนกระทั่งเช้า ด้วยการนมาซ ดุอาอฺ และเจริญพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน[3]

بات الحسين و اصحابه طول ليتهم يصلون و يستغفرون ويبضرعون

2. การให้ความสำคัญต่อการอ่านอัล-กุรอาน

ประเด็นดังกล่าวจะขออธิบายในช่วงจริยวัตรของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.)

3. การให้ความสำคัญต่อดุอาอฺและการกล่าวลุแก่โทษ

ประเด็นดังกล่าวนี้สามารถสร้างความเข้าใจได้อย่างดีในรายงานก่อนหน้านี้ ซึ่งตามรายงานกล่าวว่าท่านอิมามได้ให้ความสำคัญต่อการวิงวนนขอพรต่อพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งช่วงวินาทีสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใดหลงเหลืออีก ท่านได้ยกมือดุอาอฺต่อพระเจ้าว่า

اللهم انک بري ما يصنع بولد نبيک

โอ้ อัลลอฮฺ แท้จริงพระองค์ทรงเห็นว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับลูกหลานของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)[4]

4. การปฏิบัติมุซตะฮับและมารยาทของอิสลาม

4.1 เมื่อท่านอิมาม (อ.) อยู่ในระหว่างการเป็นชะฮาดัต ท่านได้เรียกหาอาภรณ์ที่ไร้ค่าและได้สวมใส่เสื้อตัวนั้น เพื่อว่าเหล่าศัตรูจะได้ไม่ช่วงชิงสิ่งนั้นกันหลังจากท่านชะฮีดไปแล้ว ได้มีคนนำเอาเสื้อที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ปฏิเสธที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอิสลามมาให้ท่านสวมใส่ แต่ท่านอิมามปฏิเสธไม่ยอมใส่เสื้อตัวดังกล่าว[5] เนื่องจากว่าเป็นเสื้อเฉพาะเจาะจงสำหรับผู้ปฏิเสธ

4.2 เมื่อท่านอิมาม (อ.) เดินทางออกจามะดีนะฮฺ ท่านสั่งเสียแก่มุฮัมมัด ฮะนีฟียฺ น้องชายของ ซึ่งท่านได้เขียนและส่งให้แก่เขา[6]

ขณะที่ท่านกำลังจะก้าวไปสู่การเป็นชะฮาดัต ท่านสั่งเสียแก่อิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) บุตรชายของท่าน[7]

4.3 เมื่อท่านอิมาม (อ.) ทราบข่าวการเป็นชะฮีดของท่านมุสลิม และฮานี ท่านอิมามมิได้แสดงความเสียใจ หรือตะโกนกุ่ร้องแสดงความเสียใจแต่อย่างใด แต่อิมามได้กล่าวประโยคว่า

انا لله وانا اليه راجعون وحمة الله عليهما

เราเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และเราต้องกลับคืนสู่พระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดเมตตาแก่ทั้งสองด้วยเถิด ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวประโยคเดิมซ้ำกันหลายต่อหลายครั้ง[8]



[1] อ้างแล้วเล่มเดิม 314
[2] เมาซูอะฮฺ หน้า 444
[3] ตารีคฏ็อบรียฺ เล่ม 3 หน้า 317 อัลเอรชาด หน้า233 ลุฮูฟ หน้า 41 โดยเล่มมาจากเมาซูอะฮฺ หน้า 403
[4]  เมาซูอะฮฺ หน้า 508
[5]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 489
[6] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 290
[7] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 487
[8]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 344