ภาคที่ 2 วิสัยทัศน์ในการอบรมส่วนตัว

บทที่ 1 วิสัยทัศน์ด้านความรู้สึกแห่งอาชูรอ

ในสนามรบได้ต่อสู้กันอย่างโหดเหี้ยมและเป็นไปอย่างอยากลำบากอย่างยิ่ง ในสถานภาพเช่นนั้นน้อยคนยิ่งนักที่จะให้ความสนใจต่อความรัก ความเป็นห่วงเป็นเป็นใย และมิตรภาพที่ดีต่อกัน แต่อิมามฮุซัยนฺ (อ.) ได้แสดงบทบาทดังกล่าวให้เห็นกล่าวคือ ขณะที่ท่านเป็นราชสีห์แห่งสนามรบ ราชสีห์แห่งอาชูรอ และเป็นนักการเมืองที่ชาญฉลาดในการเจรจา ในสถานภาพเช่นนั้นท่านอิมาม (อ.) ได้แสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของความเป็นบ่าวผู้มีความรักความเมตตา และมีความเอ็นดูต่อมิตรสหายของท่าน

1. ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนของท่านอิมาม (อ.)

ประเด็นดังกล่าวนี้สามารถหยิบยกตัวอย่างที่บ่งบอกถึงความรักและความเอ็นดูในความเป็นมนุษยชาติของท่านอิมาม

1.1 การร้องไห้ของท่านอิมาม (อ.) ครั้นเมื่ออิมามต้องการเดินทางออกจากมะดีนะฮฺ ท่านได้กล่าวอำลากับมุฮัมมัด ฮะนีฟียะฮฺ (น้องชายของท่าน) ซึ่งทั้งสองได้สวมกอดและร่ำไห้ต่อกัน[1]

เช่นเดียวกันเมื่อท่านได้กล่าวอำลาท่านมุสลิม มุอานิเกาะฮฺ ท่านได้ร่ำไห้[2] และอีกครั้งที่มักกะฮฺ ขณะที่กล่าวอำลาอับบาส ซึ่งทั้งสองต่างร่ำไห้ต่อกัน[3]

1.2 การแสดงความรักและความเอ็นดูของท่านอิมาม (อ.) ที่มีต่อครอบครัวชะฮีด

เมื่ออิมามฮุซัยนฺ (อ.) ทราบข่าวการเป็นชะฮีดของท่านมุสลิมบุตรของอะกีล ท่านได้กล่าวเรียกบุตรีของมุสลิมว่า โอ้ ลูกรักของพ่อ พ่อเป็นพ่อเจ้า และนี่ลูกสาวของพ่ออีกคนหนึ่งเธอคือพี่สาวของเจ้า[4]

ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวแก่บรรดาบุตรของอะกีล หมายถึงพี่น้องของมุสลิมโดยท่านได้ขอความคิดเห็นของพวกเขาในการที่จะดำเนินทางต่อไปหรือไม่[5]

1.3 ท่านอิมาม (อ.) ร่ำไห้อำลา เมื่อท่านอนุญาตให้อะลีอักบัร (บุตรชาย) และอับบาส (น้องชาย) ออกไปสู่สนามรบ ท่านได้ร่ำไห้แสดงความเสียใจออกมา[6]

เช่นเดียวกันขณะที่ท่านอนุญาตให้ดุลลอฮฺและกอซิม บุตรชายของท่านอิมามฮะซัน (อ.) ออกไปรบ ท่านได้ร่ำไห้แสดงความเสียใจอย่างหนัก[7] หมายถึงท่านอิมาม (อ.) ขณะที่ท่านมีความเชี่ยวชาญและความฉ่ำชองในการทำสงคราม อีกทั้งท่านเล็งเห็นการทำสงครามและการต่อสู้ดิ้นรนในหนทางของพระเจ้าเป็นสิ่งจำเป็น และท่านพยายามที่จะปกป้องอิสลามด้วยชีวิตและทรัพย์สินของท่าน กระนั้นท่านยังร่ำไห้แสดงความเสียใจออกมา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกให้เห็นถึงธาตุแท้แห่งความเป็นมนุษยชาติที่มีอยู่ในตัวท่าน

1.4 ท่านอิมาม (อ.) ได้จูบบรรดาสหายที่ออกรบ เมื่อสหายได้รับบาดเจ็บอย่างหนักในการสู้รบ และพวกเขาได้พยุงเรือนร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลกลับมายังค่ายที่พัก ท่านอิมาม (อ.) ได้จูบพวกเขาเหล่านั้นด้วยความสงสาร[8]

1.5 ความรักของท่านอิมาม (อ.) ที่มีต่อเด็กๆ

ท่านอิมาม (อ.) รักและสงสารซุกัยนะฮฺ บุตรสาวของท่านอย่างมาก อิมามได้แสดงความรักต่อเธอตลอดเวลา เมื่อท่านจะออกไปสู่สนามรบท่านยังได้เรียกซุกัยนะฮฺมาโอบกอดไว้แนบอก ท่านได้บรรจงหอมแก้มทั้งสองของเธอ ท่านใช้ฝ่ามืออันสะอาดบริสุทธิ์ปราดเช็ดน้ำตาที่แก้มทั้งสองของเธออย่างอ่อนนุ่ม[9]

กริยาของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ได้ให้บทเรียนด้านการแสดงความรักที่มีต่อบุตรหลาน ซึ่งสาส์นของท่านอิมาม (อ.) ได้แจ้งกับพวกเราว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสนามรบ หรือกำลังปฏิบัติหน้าที่สำคัญอยู่นั้น เราจะต้องไม่ลืมการใส่ใจต่อครอบครัวและต้องแสดงความรักต่อพวกเขาอย่างจริงจังตลอดเวลา

1.6 ท่านอิมาม (อ.) ได้ร้องไห้ให้กับสภาพอันน่าสงสารของศัตรู

ท่านอิมาม (อ.) ในฐานะที่เป็นครูผู้ฝึกสอนที่ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้ชี้นำทางมวลมนุษยชาติท่านได้พยายามเพียรพยายามเพื่อการชี้นำประชาชน เมื่อคำสั่งสอนของท่านไม่บังเกิดผลท่านจะแสดงความเสียใจกลุ่มชนที่ไม่เชื่อฟังคำพูดของท่าน และกำลังหลงทางออกไปจากความจริง ท่านจะร้องไห้เสียใจต่อความหลงผิดของพวกเขา ท่านจะเอ่ยถามตนเองเสมอว่าเพราะเหตุใดประชาชนจึงปฏิเสธไม่ยอมรับคำพูดของท่าน ทำไมพวกเขาต้องทำตนให้ออกห่างจากความโปรดปรานของพระเจ้า[10]

2. การแสดงความบริสุทธิ์ใจของเหล่าสหายและผู้ช่วยเหลือ

ท่านอิมาม (อ.) เป็นศูนย์กลางความรู้สึกอันดีงาม ซึ่งความรู้สึกอันละเอียดอ่อนของท่านอิมามนั้น มีผลต่อเหล่าบรรดาสหายและผู้ช่วยเหลืออย่างมาก อันเป็นเหตุให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงตนเองกลายเป็นศูนย์กลางความรู้สึก ดุจดังเช่นท่านอิมาม (อ.) ซึ่งจะขอหยิบยกประเด็นดังกล่าวนี้สักสองสามประเด็น

2.1 ประชาชนชาวบัศเราะฮฺกลุ่มหนึ่งเดินทางมาเพื่อจะช่วยเหลือท่าน แต่ในระหว่างทางพวกเขาได้รับข่าวว่าท่านอิมามและกองคาราวานชะฮีดแล้ว พวกเขาแสดงความเสียใจอย่างมากที่พวกเขาไม่สามารถเดินทางมาช่วยเหลือท่านอิมามได้ทันท่วงที พวกได้กู่ร้องร่ำไห้[11]

2.2 เมื่อฮิลาลบุตรของนาฟิอฺ ได้ออกไปนำน้ำพร้อมกับท่านอับบาส (อ.) และเหล่าสหายอีก 23 คน เมื่อทหารยามรักษาการของฝ่ายศัตรูเห็นฮิลาลเขาจำได้จึงอนุญาตให้ฮิลาลดื่มน้ำ แต่ฮิลาลกล่าวว่า ฉันขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺว่า ฉันจะไม่ดื่มน้ำแม้แต่หยดเดียวขณะที่ท่านอิมาม (อ.) และลูกหลานของท่านยังกระหายน้ำอยู่[12]

2.3 ความเสียสละ

ท่านอบัลฟัฏลฺ (อ.) และพี่น้องของท่านคือหัวใจแห่งกองคาราวานของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ด้วยเหตุนี้ศัตรูพยายามที่จะแยกท่านออกจากกองคาราวานให้จงได้

ขั้นตอนแรก อิบนุซิยาด ได้เขียนจดหมายถึงท่านอับบาสเพื่อยืนยันว่าจะให้ความปลอดภัยแก่พวกเขา แต่ท่านอับบาสและพี่น้องของท่านกล่าวว่า สำหรับพวกเขาความปลอดภัยจากพระเจ้าย่อมดีกว่าความปลอดภัยที่มาจากบุตรของมัรญานะฮฺ

ขั้นตอนที่สอง ชิมร์ ได้ก้าวออกมาด้านหน้าและพูดด้วยเสียงดังขณะอยู่ต่อหน้าผู้คนว่า เขาจะให้ความปลอดภัยแก่อับบาสและพี่น้องของเขา แต่อับบาส ได้กล่าวสาปแช่งชิมร์ และกล่าวประณามพวกเขาพร้อมกับปฏิเสธเจตนารมณ์ของพวกเขา[13] ด้วยเหตุนี้ ชื่อของท่านจึงได้ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ตราบระยะเวลาที่ผ่านมาในฐานะน้องชายผู้เสียสละ และจงรักภักดีต่อท่านอิมาม (อ.) อีกทั้งท่านยังเป็นแหล่งที่มาแห่งความดีงามทั้งหลาย

2.4 มารดาของสหายคนหนึ่งของท่านอิมาม (อ.) เมื่อนางได้รับข่าวว่าบุตรชายของนางชะฮีดแล้ว นางได้จูบที่ศีรษะที่ถูกตัดขาด และได้ขว้างศีรษะนั้นกลับไปยังกองทัพศัตรู (ในความหมายก็คือสิ่งที่ข้าได้คืนให้อัลลอฮฺไปแล้ว ข้าจะไม่มีวันเอากลับคืนมาอีก)[14]

2.5 การตื่นตลอดทั้งคืนของสหายอิมาม (อ.)

เมื่อสหายบางคนของท่านอิมาม (อ.) ทราบข่าวว่าท่านหญิงซัยนับ (อ.) เป็นกังวลเกี่ยวกับสหายบางคนของอิมามและเกรงว่าพวกเขาจะไม่ซื่อสัตย์กับท่านอิมาม (อ.) ท่านฮะบีบและฮิลาลและสหายคนอื่นๆ ได้ร่วมประชุมกันโดยไม่มีลูกหลานของบนีฮาชิมคนใดอยู่ในทีประชุม พวกเขาได้ตกลงกันหลังจากนั้นจึงได้รุดไปยังค่ายที่พักของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) และประกาศว่าพวกเราขอสละชีวิตด้วยความซื่อสัตย์ และขอปกป้องพวกท่านให้อยู่ในความปลอดภัยที่สุด[15]

2.6 ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวแนะนำบุคคลที่มีครอบครัวว่า ให้พวกเขานำพวกเธอไปยังเผ่าของบนีอะซัด เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ถูกจับเป็นเชลย ทว่าภรรยาของอะลี บุตรของมะซอฮิร ปฏิเสธไม่ยอมรับข้อเสนอ นางกล่าวว่า ขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺว่า พวกท่านจงเป็นผู้ช่วยเหลือเหล่าบรรดาบุรุษแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ ส่วนพวกเราจะเป็นผู้ช่วยเหลือเหล่าบรรดาสตรีเอง พวกเราจะปล่อยให้ลูกหลานของท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) ตกเป็นเชลยตามลำพังได้อย่างไร โดยที่เรามิได้ตกเป็นเชลย สามีของนางได้ร่ำไห้และกลับมาหาท่านอิมาม (อ.) โดยเล่าคำพูดของภรรยาที่กล่าวถึงท่านอิมาม (อ.) อิมามได้หลั่งน้ำตาและดุอาอฺให้แก่พวกนาง[16]

2.7 ความรู้สึกของท่านหญิงซัยนับ (อ.)

ท่านหญิงซัยนับ (อ.) นั้นรักและสงสารท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) เป็นที่สุด โดยในค่ำอาชูรอนางมิได้หลับนอนเลยแม้แต่นิดเดียว ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวลำดับเหตุการณ์และเตือนสำทับนางว่า หลังจากพี่ชะฮีดไปแล้ว เจ้าจงอย่างได้เอะอะโวยวายเป็นอันขาด หรือแสดงความเสียใจอย่างเกินเหตุ เมื่อท่านหญิงได้รับทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้นางถึงกับหมดสติไป เนืองจากผลของความเสียใจที่นางจะต้องประสบด้วยตาตัวเอง ท่านอิมาม (อ.) ได้นำน้ำมาพรมที่ใบหน้าของนาง ท่านได้กอดและหอมแก้มของนางพร้อมทั้งกล่าวว่า โอ้ น้องรักของพี่มนุษย์ทุกคนต้องตายและต้องอำพรากจากกัน หลังจากนั้นท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวสาบานว่า หลังจากพี่ชะฮีดไปแล้ว เจ้าจงอย่าฉีกเสื้อผ้าของตน[17]

รายงานกล่าวว่าสตรีบางคนของบนีฮาชิมได้แสดงความเสียใจอย่างรุนแรง ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวตักเตือนและแนะนำพวกนางในทางที่ดี[18]

2.8 เหล่าสหายของท่านอิมาม (อ.) เมื่อต้องการออกไปสู่รบ พวกเขาได้อ้อนวอนอิมามด้วยน้ำตาเพื่อให้ท่านอิมามเห็นใจและอนุญาตให้พวกเขาออกไป

เรื่องราวดังกล่าวเกี่ยวข้องกับพี่น้องสองคนคือ อัลญาบีรียาน กับตระกูลของอัลฆอฟฟารียาน เมื่อท่านอิมาม (อ.) ถามถึงสาเหตุว่าพวกเจ้าร้องไห้เพราะเหตุใด พวกเขากล่าวว่า พวกเราไม่เคยร้องให้เสียใจให้แก่ตัวเอง ทว่าพวกเราได้ร้องไห้ให้แก่ความโดดเดียวและความไร้ผู้ช่วยเหลือของท่านต่างหาก ทั้งที่พวกเราไม่สามารถช่วยเหลือท่านได้ หรืออย่างน้อยที่สุดกีดกันศัตรูให้ออกห่างไปจากท่าน[19]

อับดุลลอฮฺ  และกอซิมบุตรของท่านอิมามฮะซัน (อ.) ได้ขออนุญาตท่านอิมามเพื่อออกไปสู่รบด้วยคราบน้ำตานองใบหน้าทั้งสองข้าง[20]

2.9 เหล่าสหายของท่านอิมาม (อ.) แสดงความเสียใจว่าขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่ แต่ต้องทนดูอิมามอยู่อย่างโดดเดี่ยว ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเร่งรีบไปสู่การเป็นชะฮีดต่างคนต่างแย่งชิงกันออกไป

อบูสุมามะฮฺ ซาอิดียฺ และอุมะริบนิ คอลิด ซัยดาวี เล่าว่าเขาได้ไปพบท่านอิมาม (อ.) และกล่าวกับท่านอิมามว่า พวกเราจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งถ้าหากพวกเรามีชีวิตและเห็นท่านถูกโดดเดี่ยวอยู่ตามลำพัง หรือได้เห็นลูกหลาน (อะฮฺลุลบัยตฺ) บางคนของท่านเป็นชะฮีด ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเร่งรีบที่จะออกไปสู่สนามรบก่อนบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ[21]

2.10 การละทิ้งเจ้าสาว

นาฟิอฺ บุตรของฮิลาล ได้อ่านอักดฺแต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง และเขาต้องการร่วมขบวนไปกับกองคาราวานของท่านอิมาม ซึ่งภรรยาของเขาได้ร้องไห้เสียใจอย่างหนัก ด้วยเหตุนี้ ท่านอิมาม (อ.) จึงกล่าวแก่นาฟิอฺว่า ภรรยาของเจ้าเขาไม่พอใจ ดังนั้น ถ้าเจ้าจะคิดว่าการครองเรือนดีกว่าการสู้รบก็ได้ แต่นาฟิอฺปฏเสธไม่ยอมรับ และกล่าวว่า ถ้าหากว่าวันนี้ฉันไม่ช่วยเหลือท่าน พรุ่งนี้จะให้ฉันตอบแก่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้อย่างไร หลังจากนั้นเขาได้ขออนุญาตอิมาม (อ.) ไปสู้รบและได้รับชะฮีดในเวลาต่อมา[22]

2.11 ความรู้สึกอันละเอียดอ่อนและความบริสุทธิ์ของอับบาส

เมื่อท่านอบุลฟัฏลฺ (อ.) ได้ไปยังฝั่งแม่น้ำยุเฟรติส เพื่อจะได้นำน้ำกลับมาให้ทุกคนในค่ายที่พักได้ดื่มกิน ขณะที่มือของท่านได้สัมผัสกับน้ำท่านได้คิดถึงความหิวกระหายของท่านอิมาม (อ.) ทำให้ท่านไม่ยอมดื่มน้ำ

เช่นเดียวกันเมื่อท่านอับบาสได้รับหน้าที่ให้ไปนำเอาน้ำมา ศัตรูได้ฟันแขนทั้งสองของท่านขาดสะบั้นลงท่านได้ใช้ฟันคาบถุงน้ำเอาไว้[23]

ท่านอบุลฟัฏลฺ (อ.) เป็นสุภาพบุรุษที่มีมารยาทอ่อนโยนเมื่อท่านต้องการออกไปสู้รบ ท่านได้ขออนุญาตจากท่านอิมาม (อ.)[24]

ท่านอับบาส (อ.) ได้ร้องเรียกท่านอิมามด้วยน้ำเสียงอันไพเราะว่า ข้าขอสละชีวิตเพื่อดวงวิญญาณบริสุทธิ์ของท่าน และชีวิตของข้าขอมอบแด่ความพอใจของท่าน[25]

บนพื้นฐานของบางรายงานกล่าวว่า ขณะที่ท่านอับบาสกำลังจะชะฮาดัตท่านมีความละอายอย่างยิ่งต่อบุตรีคนหนึ่งของท่านอิมาม (อ.) (ท่านหญิงสุกอยนะฮฺ) ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้ขอร้องท่านอิมามว่าอย่าได้นำเอาเรือนร่างของท่านกลับไปยังค่ายที่พัก เนื่องจากท่านไม่ประสบความสำเร็จในการไปนำน้ำกลับมาให้เด็กๆ ที่กำลังหิวกระหาย[26]

ขณะที่ท่านอบุลฟัฏลฺ (อ.) กำลังจะชะฮีด ท่านได้ร้องเรียกพี่ชายของท่าน เมื่อท่านลืมตาขึ้นท่านเห็นว่าศีรษะของท่านวางอยู่บนตักของท่านอิมาม (อ.) ท่านได้ร่ำไห้ออกมาอย่างหนัก[27]

2.12 ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) ขณะป่วยหนักอยู่ในกัรบะลาอฺ ท่านปรารถนาที่จะออกไปสู้รบ แต่ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ได้ห้ามปรามเอาไว้[28]

2.13 อับดุลลอฮฺ บุตรของท่านอิมามฮะซัน (อ.) เป็นคนหนึ่งที่มีความอาลัยรักในอิมามฮุซัยนฺ (อ.) เป็นอย่างยิ่ง เขาได้พยายามวิ่งแหวกว่ายฝ่าวงล้อมของศัตรูเข้าไปเพื่อจะไปหาท่านอิมาม (อ.)  ท่านอิมามได้ร้องเรียกน้องสาวของท่านและสั่งว่าให้นำเอาอับดุลลอฮฺกลับไป แต่อับดุลลอฮฺ ขัดขืนไม่ยอมกลับออกไปและกล่าวว่า ฉันขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺว่า ฉันจะไม่ยอมแยกออกจากอาของฉันอย่างเด็ดขาด ในที่สุดศัตรูได้ฟาดฟันลงบนเรือนร่างของอับบดุลลอฮฺ ท่านอิมาม (อ.) ได้นำร่างของเขามากอดแนบไว้กับอก[29]

2.14 มุสลิมบุตรของเอาสะญะฮฺ ขณะที่กำลังจะชะฮีด เขาได้กล่าวแก่ฮะบีบ บุตรของมุสะฮัร (ซึ่งชะฮีดหลังจากเขาไม่นาน) ว่า ข้าขอแนะนำเจ้าเกี่ยวกับชายผู้นี้ (อิมามฮุซัยน) ว่าเจ้าจงตายเคียงข้างกับเขา

 ฮะบีบกล่าวว่า ฉันขอสาบานด้วยพระนามแห่งเจ้าแห่งกะอฺบะฮฺว่าฉันยินดีที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน[30]

3. ความต่ำทรามของศัตรู

ผู้ที่เป็นศัตรูกับอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) มีอยู่ในทุกที่และทุกกาลเวลา แต่ในบางครั้งความเป็นศัตรูกันก็คือความเป็นสุภาพบุรุษผู้มีอิสระ และในบางครั้งบางคนอาจจะแสดงความต่ำทรามออกมาจนไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์อยู่ในตัว ฉะนั้น ในกัรบะลาอฺท่านอิมาม (อ.) ได้เผชิญหน้ากับชนกลุ่มที่สอง ท่านอิมามจึงได้จารึกประวัติศาสตร์หน้านี้เอาไว้เพื่อว่าผู้คนจะได้มองเห็นความต่ำทรามของเขาตลอดไป และจะได้หยิบยกให้พวกเขาเป็นตัวอย่างของผู้อธรรมที่ชั่วร้ายที่สุดบนหน้าแผ่นดิน

แน่นอน การได้รับการกดขี่ของท่านอิมาม (อ.) ยิ่งใหญ่และรุนแรงมาก เพียงแค่ท่านมีศัตรูเฉกเช่นคนจำพวกนั้นก็คือว่ามีความรุนแรงเป็นที่สุดแล้วโดยไม่จำเป็นต้องทำการสู้รบกัน

ซึ่งจะขอหยิบยกความต่ำทรามของศัตรูแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) สักสองสามประเด็นดังนี้

3.1 บรรดาศัตรูได้สังหารท่านอิมาม (อ.) ข้างๆ ริมฝั่งแม่น้ำด้วยความหิวกระหายอย่างหนัก[31] ตลอดจนพวกเขาไม่พร้อมที่จะหยิบยื่นน้ำให้แก่บรรดาเด็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กน้อยเฉกเช่น อะลีอัสฆัร[32]

3.2 บรรดาศัตรูได้สังหารแม้กระทั่งเด็กน้อยที่ไร้ความผิดบาปเฉกเช่น อะลีอัสฆัร ซึ่งพวกเขาได้สังหารท่านขณะที่อยู่ในอ้อมกอดของบิดา[33] และพวกเขาไม่พร้อมที่จะหยิบยื่นน้ำแก่อะลีอัสฆัรได้ดื่มกินทั้งที่ท่านเป็นเด็กน้อย ไม่มีบทบาทต่อการสู้รบแต่อย่างใดซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็ควรให้ความใส่ใจต่อสภาพของเด็กๆ

3.3 ความต่ำทรามของหล่าศัตรูเมื่ออิมาม (อ.) ได้รับชะฮีดพวกเขาพากันเยื้อแย่งเสื้อผ้าของท่าน เยื้อแย่งกางเกงที่ท่านสวมใส่หยิบฉวยอิมามะฮฺ และรองเท้าของท่านไป[34]

3.4 ได้มีชายชั่วที่หัวใจเหี้ยมโหดคนหนึ่งมันได้ตัดนิ้วมือของท่านอิมามเพื่อเอาแหวนของท่าน รายงานได้บันทึกว่าชื่อของเขาคือ ยัจญฺดุล บุตรสะลีม กัลบียฺ[35]

3.5 บรรดาศัตรูที่หัวใจมืดบอดเมื่ออิมาม (อ.) ได้รับชะฮาดัตแล้วพวกเขาได้บุกโจมตีค่ายที่พักของบรรดาสตรีที่ปราศจากผู้คุ้มกันอย่างโหดร้ายที่สุด[36] โดยพวกเขาได้แก่งแย่งกันเข้าทำร้ายลูกหลานของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)

3.6 พวกเขาได้จุดไฟเผาค่ายที่พักของท่านเราะซูล (ซ็อล ฯ) หลังจากที่อิมาม (อ.) ได้รับชะฮีดแล้ว[37] ขณะที่การกระทำอันโหดร้ายของเขาไม่มีกองทหารใดบนโลกนี้กระทำกันเช่นพวกเขา

3.7 พวกเขาได้จับกุมเหล่าสตรีของอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) เป็นเชลยศึก โดยเปล่าให้เดินเท้าเปล่า[38]

เมื่อพวกเขาต้องการเคลื่อนย้ายเหล่าสตรีพวกเขาพยามให้พวกนางเดินผ่านเรือนร่างที่ถูกสังหาร ซึ่งล้วนเป็นบุคคลที่พวกนางรักและให้ความเคารพทั้งสิ้น อันถือได้ว่าเป็นความโหดร้ายอย่างที่สุด[39] (เพื่อสำทับความเสียใจของพวกนางให้เพิ่มเป็นทวีคูณ)

3.8 ศัตรูได้จับสตรีบางท่านขี่หลังอูฐโดยมีอานที่นั่งรองรับ และทำการประจานพวกนางต่อหน้าศัตรูและประชาชนคนอื่น[40]

3.9 อุมะริบสะอัด แม่ทัพฝ่ายศัตรูได้สั่งให้ชาย 10 คน น้ำม้าไปเหยียบบนเรือนร่างของท่านอิมาม (อ.) จนกระดูกแตกละเอียดด้วยหัวใจที่โหดร้าย[41] ซึ่งมันได้รับรางวัลอย่างงามต่อการออกคำสั่งให้กระทำเช่นนั้น[42]

3.10 บรรดาศัตรูได้เชือดอิมาม (อ.) เพื่อสังหารที่ละน้อย (สังหารอย่างเลือดเย็น)[43] หมายถึงพวกมันมิได้สังหารท่านอิมาม (อ.) ในครั้งเดียว ทว่าพวกมันได้ฟันและเฉือนท่านอิมามที่ละน้อยจนกระทั่งท่านค่อยเสียชีวิต อำลาจากโลกไป

3.11 บรรดาศัตรูได้นำศีรษะของบรรดาชุฮะดาเสียบปลายหอก และแห่ประจารต่อหน้าบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ที่นั่งอยู่บนหลังอูฐเพื่อจงใจให้พวกเขาได้เห็นเป็นการเพิ่มความโศกเศร้าเสียใจแก่พวกเขา[44]

3.12 บรรดาศัตรูได้นำศีรษะของท่านอิมาม (อ.) เข้าไปในห้องประชุมของยะซึด และได้กล่าวประณามดูถูกเหยียดหยามต่างๆ นานา[45]



[1]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 289
[2]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 314
[3] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 306, 309
[4] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า หน้า 350 อัลอะฮฺซาน หน้า 45
[5] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า หน้า 344
[6] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 460
[7] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า464, 466
[8]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 470
[9]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 491
[10] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 491, มัคตัล อิบนุมัคนัฟ หน้า 132 , นาซิคุลตะวารีค เล่ม 2 หน้า 376, ยะนาบีอุลมุวัดดะฮฺ หน้า 416, มะอาลิมุลซิบฏัยนิ เล่ม 2 หน้า 12
[11] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 318
[12] อัลฟุตูฮะฮฺ เล่ม 5 หน้า 102 ตารีคฏ็อบรียฺ เล่ม 3 หน้า 313 ลุฮูฟ หน้า 38 อัลอะวาลัม เล่ม 17 หน้า 239 เล่ามาจากเมาซูอะฮฺ หน้า 386
[13] เมาซูอะฮฺ หน้า 389 , 390
[14]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 435, 407
[15]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 407,408
[16]   อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 412
[17]  ตารีคฏ็อบรียฺ เล่ม 3 หน้า 6, 3 อัลเอรชาด หน้า 232 บิฮารุลอันวาร เล่ม 45 หน้า 1
[18]  เมาซูอะฮฺ หน้า 405, 406
[19] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 448 449
[20]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 464, 466
[21] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 447,452
[22] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 447
[23]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 472
[24]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 471
[25] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 471
[26]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 474
[27]  อ้างแล้วเล่มเดิม
[28]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 489
[29]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 507 เล่ามาจากรายงานที่หลากหลาย
[30]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 442
[31] ลุฮูฟ หน้า 58,55
[32]  เมาซูอะฮฺ เหน้า 476
[33]  อ้างแล้ว หน้า 476
[34] อ้างแล้ว หน้า 56, 57
[35] อ้างแล้วเล่มเดิม
[36]  อ้างแล้ว หน้า 57
[37]  อ้างแล้ว หน้า 57
[38]  อ้างแล้ว หน้า 57
[39]  อ้างแล้ว หน้า 57
[40]  อ้างแล้ว หน้า  57
[41] ลุฮูฟ หน้า 58
[42]  อ้างแล้ว หน้า 62
[43] อ้างแล้ว หน้า หน้า 68, บิฮารุลอันวาร เล่ม 45
[44]  อ้างแล้ว หน้า 76
[45]  ลุฮูฟ หน้า 78