น้ำ

น้ำมีความสำคัญต่อร่างกาย เราเคยถูกปลูกฝังให้ท่องจำมาตั้งแต่เด็กในเรื่องสุขบัญญัติ 10 ประการ ซึ่งมีเรื่องของการดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว ทำให้ทุกคนทราบว่า น้ำมีความสำคัญต่อร่างกาย แต่แนวโน้มในการดื่มน้ำไม่เพียงพอกลับมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

            น้ำเป็นส่วนประกอบของไฮโดรเจน 2 อะตอม และออกซิเจน 1 อะตอม น้ำมีความสำคัญต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์นับจำนวนล้าน ๆ เซลล์ โดยที่เซลล์มีการแบ่งตัวจาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 ทวีคูณตั้งแต่เริ่มสร้างอวัยวะ และเติบโตกลายเป็นร่างกายทั้งหมด เซลล์แต่ละเซลล์ประกอบไปด้วยน้ำในปริมาณสูง ทำให้ร่างกายมีน้ำประกอบอยู่ภายในมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ส่วนของร่างกายซึ่งมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากที่สุด คือเลือดถึงร้อยละ 80 รองลงมาคือสมองร้อยละ 75 และรองลงมาคือกล้ามเนื้อต่าง ๆ ร้อยละ 70

                ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะทำงานได้เป็นปกติย่อมขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำ น้ำทำให้ร่างกายกายมีอุณหภูมิปกติ น้ำช่วยขับของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อและปัสสาวะ เป็นพาหนะบรรทุกสารอาหารและออกซิเจนไปทางหลอดเลือด นำไปส่งให้กับเซลล์ต่าง ๆ เป็นสารหล่อลื่นภายในข้อต่อ นำพากากของเสียออกจากร่างกายทางอุจจาระ ช่วยขับสารพิษซึ่งเกิดจากการเผาไหม้อาหารซึ่งเผาไม่หมด ออกจากร่างกายทางปัสสาวะ และช่วยละลายสารอาหารพวกวิตามิน แร่ธาตุต่าง ๆ ที่เรารับประทานเข้าไป

คนที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอย่อมเกิดภาวะขาดน้ำ ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ถ้าขาดน้ำไม่มาก

จะมีอาการเฉื่อยชา เซื่องซึม ง่วงเหงาหาวนอน ร่างกายจึงจำเป็นต้องสำรองพลังงานในระยะนี้เอาไว้ โดยพยายามลดกิจกรรมต่าง ๆ ลง แต่ถ้าได้ดื่มน้ำเย็น ๆ จะทำให้กลับมาสดชื่นและรู้สึกกระปี้กระเปร่าได้อีก แต่ถ้าขาดน้ำรุนแรงจะทำให้รู้สึกสับสน ขาดสมาธิ ปวดศีรษะ หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย เหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ให้รีบดื่มน้ำทันทีเพื่อแก้ไขความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำที่รุนแรงเช่นนี้

นอกจากนั้นน้ำยังมีหน้าที่คอยป้องกันไม่ให้เกิดโรคบางชนิด เช่น การเกิดนิ่วในไต น้ำจะเข้าไปขับก้อนนิ่วออกจากร่างกายตั้งแต่ยังเป็นก้อนขนาดเล็ก โดยน้ำจะช่วยพัดพาสารตกค้างที่อาจก่อตัวกลายเป็นนิ่วให้ออกไปจากร่างกาย และน้ำยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

            ปริมาณของน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวันควรเป็น 10 แก้วหรือประมาณ 2 ลิตรครึ่ง เนื่องจากเป็นปริมาณซึ่งร่างกายต้องสูญเสียน้ำออกไปทางเหงื่อ ทางปัสสาวะ ทางผิวหนังและลำไส้ จึงจำเป็นจะต้องใช้น้ำมากกว่า 2 ลิตร แต่ปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับไม่ได้มาจากการดื่มอย่างเดียว อาจได้มาจากอาหาร ผลไม้ เครื่องดื่มประเภทนม น้ำหวานชนิดต่าง ๆ ดังนั้นปริมาณน้ำดื่มจึงขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทาน เพศ อายุ สุขภาพ กิจกรรมซึ่งทำในแต่ละวัน ยาที่รับประทาน ตลอดจนสภาพอากาศภายนอกด้วย แต่การดื่มน้ำวันละไม่ถึง 10 แก้วนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เกิดการขาดน้ำ เนื่องจากยังคงมีน้ำมาจากแหล่งอื่นเข้าสู่ร่างกายทดแทนได้

            มีหลายคนคิดว่าหลังการออกกำลังกาย ร่างกายคงต้องการน้ำมากกว่าปกติ แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ถ้าหากเสียเหงื่อมากไปกับการออกกำลังกาย ให้ดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่เพื่อชดเชย

ชดเชยพลังงานดีกว่าการการดื่มน้ำเปล่าที่ใสสะอาด เนื่องจากเครื่องดื่มเกลือแร่จะให้พลังงานทดแทนพลังงานที่สูญเสียไปได้เร็วมากกว่าน้ำ และควรจะหยุดพักดื่มทุก 20 นาที ในขณะออกกำลังกาย

           

น้ำช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ช่วยลดอาการไข้ จึงควรดื่มน้ำให้มากเมื่อมีอาการไข้ แต่ยังคงมีบางโรคซึ่งแพทย์สั่งให้ควบคุมปริมาณน้ำ เช่น โรคไต โรคหัวใจ และในขณะรับประทานยาขับปัสสาวะ

            ผู้ใหญ่ควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้ว ถ้าไม่สามารถดื่มน้ำเปล่าให้ได้ทั้งหมด ควรให้ครึ่งหนึ่งเป็นน้ำเปล่า ส่วนที่เหลือเป็นนม  น้ำผลไม้ อาหาร แต่ไม่แนะนำให้ดื่มน้ำประเภทที่มีคาเฟอีน น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากการดื่มเครื่องดื่มซึ่งผสมคาเฟอีนในปริมาณมาก จะทำให้ไม่สบาย เกิดอาการกระสับกระส่าย นอนไม่หลับจากฤทธิ์ของคาเฟอีน  ส่วนน้ำอัดลมนั้นมีน้ำตาลผสมอยู่ด้วย เมื่อดื่มในปริมาณมากจะทำให้อ้วนและฟันผุได้

            การที่จะทราบว่าเราดื่มน้ำในปริมาณเพียงพอในแต่ละวันหรือไม่ ให้สังเกตดูสีของปัสสาวะที่ออกมา ถ้าดื่มน้ำน้อยเกินไปปัสสาวะจะมีสีเหลืองส้ม ถ้าปัสสาวะมีสีจางแสดงว่าดื่มน้ำได้พอเพียงกับที่ร่างกายต้องการ แต่ถ้าดื่มน้ำน้อยเกินไป ปัสสาวะจะออกน้อย ปัสสาวะน้อยกว่าวันละ 4 ครั้ง จะมีคำเตือนออกมาจากภายในร่างกาย บอกความต้องการผ่านประสาทอัตโนมัติ ว่ากำลังกระหาย

            การดื่มน้ำสะอาดจึงมีความสำคัญยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการต้ม การกลั่น การกรอง และการดูดซึมแบบไหลย้อนกลับ (Reverse osmosis) การต้มเป็นวิธีการทำน้ำให้สะอาดได้ง่ายที่สุด เป็นวิธีซึ่งรู้จักกันแพร่หลายมาแต่ยุคโบราณกาล การต้มน้ำให้เดือดจะใช้เวลาประมาณ 15-30 นาทีเท่านั้น ความร้อนของน้ำขณะเดือดมีอุณหภูมิประมาณ 90-100 องศาเซลเซียส เป็นความร้อนซึ่งสามารถทำลายเชื้อจุลินทรีย์ได้ เป็นวิธีซึ่งเสียค่าใช้จ่ายน้อย นิยมใช้กันมากในครัวเรือน ส่วนการกลั่นน้ำจะทำให้ได้คุณภาพดีที่สุด ปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ แต่เป็นวิธีการค่อนข้างยาก เสียค่าใช้จ่ายมาก มีการใช้น้ำกลั่นมากทั้งในวงการวิทยาศาสตร์และวงการแพทย์

            การกรองเป็นวิธีหนึ่งในการทำน้ำให้สะอาด ทำให้สามารถลดเชื้อจุลินทรีย์ลงไปได้ร้อยละ 95-99 ใช้วิธีนี้ในการทำน้ำประปา โดยมีการกรองน้ำ 2 แบบคือแบบกรองช้าและแบบกรองเร็ว การกรองช้าจะใช้เครื่องกรองช้า ซึ่งบรรจุ ทราย กรวด และหินลงในถังกรองตามลำดับ ให้น้ำไหลผ่านอย่างช้า ๆ ส่วนเครื่องกรองเร็วนั้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับเครื่องกรองช้า แต่มีอัตราการกรองที่สูงกว่า

            การดูดซึมแบบไหลย้อนกลับเป็นวิธีหนึ่งของการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการกรองน้ำดื่ม โดยผ่านการกรองหลายขั้นตอน จนมาถึงระบบสุดท้ายด้วยวิธีการนี้จะทำให้น้ำที่ผ่านขั้นตอนต่าง ๆ มีอนุภาคที่เล็กมาก จนไม่มีสิ่งมีชีวิต เชื้อโรค หรือสารปนเปื้อนใด ๆ สามารถเล็ดลอดออกมาได้เลยจึงนับเป็นน้ำที่สะอาดและปลอดภัยที่สุด

            ทุกคนควรฝึกนิสัยในการดื่มน้ำ ถ้าไม่ใช่เดือนรอมฎอนเดือนแห่งการถือศีลอดและควรดื่มน้ำให้ได้ 1 แก้วทุกครั้งหลังอาหาร ควรเปลี่ยนจากการดื่มคอฟฟี่เบรก (การพักดื่มน้ำชากาแฟ) เป็นน้ำเปล่าเบรกดูบ้าง ควรมีการพกขวดน้ำเปล่าไว้ที่โต๊ะทำงาน และในรถยนต์ส่วนตัว เพื่อเพิ่มโอกาสในการดื่มน้ำให้กับตนเอง

            น้ำดื่มบรรจุขวดได้กลายเป็นทางเลือกใหม่ของคนสมัยปัจจุบัน การเลือกน้ำดื่มบรรจุขวดมีความสำคัญ ดังนั้นจึงควรตรวจตราว่ามีสัญลักษณ์ “อ.ย.” ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และมีเลขที่ อ.ย. กำกับอยู่ด้วยหรือไม่ เนื่องจากเคยพบว่ามีพ่อค้าที่ขาดความรับผิดชอบนำตรา อ.ย. ไปติดไว้ข้างขวด โดยไม่มีเลขมาตรฐานระบุไว้แต่อย่างใด นอกจากนั้นในการซื้อหาน้ำขวดมาบริโภคนั้น ควรตรวจสอบกระบวนการผลิตด้วยว่า มีการกรอง มีระบบการดูดซึมแบบไหลย้อนกลับ การฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงอัลตราไวโอเลตมีการเติมก๊าซโอโซนหรือไม่ ต้องตรวจดูภาชนะที่บรรจุว่ามีความใสไม่บุบ ไม่แตก ฝาขวดปิดสนิทแน่นหนา และตรวจสอบด้วยการดมกลิ่นด้วยว่า ไม่มีกลิ่นเหม็น กลิ่นฉุน ไม่มีรสชาติผิดปกติด้วย

            น้ำมีความจำเป็นต่อร่างกาย น้ำเป็นสารอาหารให้กับสิ่งมีชีวิต ทำให้ร่างกายสามารถนำสารอาหารต่างๆ ไปใช้ประโยชน์ได้ น้ำสามารถลดความร้อน รักษาร่างกายและรักษาความชื้นให้คงที่ น้ำดีจะมีสีใสสะอาด ไม่มีกลิ่น มีรสชาติจืดสนิท มีความเบาและความอ่อนนุ่มมีแหล่งกำเนิดที่สะอาด มีแหล่งของต้นน้ำ ซึ่งได้รับการสัมผัสกับแสงอาทิตย์และลม มีการไหลอย่างรวดเร็วจึงสามารถขับไล่สิ่งสกปรกและของเสียต่างๆ ที่หล่นลงมาในน้ำให้ออกไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

            น้ำจากบ่อมีความอ่อนนุ่มน้อย เนื่องจากมีตะกอนดิน น้ำจากคลองหรือร่องน้ำใต้ดินจะถูกห่อหุ้มอยู่ใต้ดินจึงมีสภาพหนัก ไม่เคยสัมผัสกับอากาศ จึงไม่สมควรจะดื่มน้ำเหล่านี้ทันทีควรทิ้งไว้ให้น้ำได้สัมผัสกับอากาศนานสักหนึ่งคืนไปก่อน ส่วนน้ำคุณภาพเลวที่สุดคือน้ำซึ่งวิ่งผ่านสารตะกั่ว และน้ำที่อยู่ในบ่อร้าง น้ำเหล่านี้เป็นต้นเหตุในการเกิดโรคระบาดต่าง ๆ ไว้อย่างมากมาย

            น้ำทะเลมีความเค็ม มีความแวววาว และรสขม มีสัตว์จำนวนมากมายอาศัยอยู่ในน้ำทะเล เมื่อสัตว์เหล่านี้ตาย ซากของมันจะถูกทับถมอยู่ในทะเลโดยไม่มีกลิ่นเหม็น การดื่มน้ำทะเลจะทำให้เกิดอาการท้องเสีย น้ำหนักลด บวม กระหายน้ำ ทำให้เกิดโรคคันและโรคหิด มีคำแนะนำสำหรับคนซึ่งเป็นโรคผิวหนังบางชนิด ให้ใช้น้ำทะเลชำระล้างบริเวณที่เป็น จะทำให้หายจากโรคผิวหนังเหล่านั้นได้

            น้ำฝนเป็นน้ำที่ดีที่สุด นุ่มนวลที่สุด มีประโยชน์มากที่สุด มีประโยชน์มากที่สุด น้ำฝนตกลงมาจากฟากฟ้า จากเมฆฝนดำทะมึน เมื่อตกลงมายังพื้นดิน มันจะถูกดูดซับเข้าไปในดินอย่างรวดเร็ว จนทำให้พืชพันธุ์ต่าง ๆ แตกใบเขียวชะอุ่มงดงามอย่างรวดเร็ว

            น้ำที่ไหลมาจากแหล่งซี่งมีแร่ธาตุหลายชนิดจะมีธรรมชาติของแร่ธาตุเหล่านั้นปะปนอยู่ น้ำซึ่งจืดสนิทและบริสุทธิ์จะมีประโยชน์ต่อผู้ป่วย

            ไม่ควรดื่มน้ำร้อนหรือเย็นจนเกินไป น้ำที่เย็นหรือร้อนเกินไปจะไปทำลายระบบประสาทและอวัยวะต่าง ๆ ไปทำลายระบบย่อยอาหาร มีผลต่อไต น้ำเย็นจัดทำให้เกิดอันตรายต่อฟัน ไม่ควรดื่มน้ำในขณะท้องว่าง หลังตื่นนอนใหม่ ๆ หลังอาบน้ำใหม่ๆ หลังรับประทานผลไม้ การดื่มน้ำหลังอาหารควรดื่มในปริมาณที่พอสมควรไม่มากจนเกินไป ให้จิบทีละน้อย จะช่วยทำให้กระเพาะอาหารแข็งแรง ช่วยดับกระหาย แต่ถ้าน้ำร้อนเกินไปจะทำให้กระเพาะอาหารบวมจนเกิดอันตรายได้

            จากหะดีษของท่านอบูหุรอยเราะฮฺ รด.กล่าวว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ ) กล่าวว่า

“ แม่น้ำซัยฮาน ญัยฮาน แม่น้ำไนล์ และแม่น้ำยูเฟรติส เป็นแม่น้ำแห่งสรวงสวรรค์”  (เซาะฮียฺมุสลิม .26/2839 )             

แม่น้ำไนล์เป็นแม่น้ำแห่งสรวงสวรรค์ มีต้นน้ำมาจากหลังภูเขาในดินแดนห่างไกลของเมืองเอธิโอเปีย แม่น้ำสายนี้เกิดจากฝนที่ตกลงมาแล้วรวมตัวกันเป็นต้นน้ำไหลผ่านไปบนพื้นที่ดินที่แห้งแล้งทำให้พืชพันธุ์ของต้นไม้ที่สายน้ำนี้ไหลผ่านมีความเขียวขจี กลายเป็นสายน้ำกว้างใหญ่ ผู้คนได้อาศัยแหล่งน้ำนี้ในการประกอบอาชีพกสิกรรม น้ำในแม่น้ำสายนี้มีความอ่อนนุ่ม เบา จืดสนิท บริสุทธิ์ และหอมหวาน ซึ่งอัลลอฮ ( ซ.บ ) ทรงโปรดประทานให้กับมนุษยชาติในดินแดนนี้ นอกจากนั้นยังคงมีน้ำซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดประทานให้กับมนุษย์เช่นกัน นั่นคือ “ น้ำซัมซัม เป็นน้ำดีที่สุด มีประโยชน์มากที่สุด ในการให้สารอาหาร เป็นยารักษาโรคอ่อนแอต่าง ๆ ทำให้หายจากโรคได้อย่างประหลาดยิ่งด้วยอนุมัติของพระผู้เป็นเจ้าอัลลอฮ ( ซ.บ ) บ่อน้ำซัมซัมนี้ได้ถูกขุดโดยญิบรีล และอัลลอฮ ( ซ.บ ) ได้ทรงโปรดให้เป็นน้ำดื่มแก่อิสมาอีล ดังมีการยืนยันไว้ในหนังสือ      “ซอเฮียะห์” จากท่านศาสดามุฮัมมัด ซล. ได้กล่าวกับอบีซัรรินซึ่งอยู่ในกะอ์บะห์เป็นเวลา 40 วัน 40 คืนโดยไม่ได้รับประทานอาหารใด ๆ เลยนอกจากน้ำซัมซัม โดยท่านนบี ซล.กล่าวว่า “ น้ำซัมซัมนั้นคืออาหารที่ให้สารอาหาร”

มีรายงานเพิ่มเติมนอกจากท่านมุสลิม ว่า  “ และเป็นยารักษาโรคอ่อนแอต่าง ๆ ด้วย” ( ซอเฮียะห์บัยหะกีย์ ในสุนันอัลกุบรอ )

            น้ำมีประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติเป็นอย่างมากมายเหลือจะคณานับ และที่สำคัญมากที่สุดคือ สัตว์ทุกชนิดบนโลกใบนี้ ก่อกำเนิดมาจากน้ำทั้งสิ้น สมดังในโองการในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน โองการที่ 45 บทที่ 24 ความว่า

   وَاللَّهُ خَلَقَ كُلَّ دَابَّةٍ مِن مَّاءٍ فَمِنْهُم مَّن يَمْشِي عَلَى بَطْنِهِ وَمِنْهُم مَّن يَمْشِي عَلَى رِجْلَيْنِ وَمِنْهُم مَّن يَمْشِي عَلَى أَرْبَعٍ يَخْلُقُ اللَّهُ مَا يَشَاءُ إِنَّ اللَّهَ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ قَدِيرٌ  

อัลลอฮ (ซ.บ ) ทรงบันดาลสัตว์ทุกตัวมาจากน้ำ ซึ่งบางชนิดจากพวกมันเป็นสัตว์ที่เลื้อยไปบนท้องของมัน ( เช่นงู ) และบางชนิดเป็นสัตว์ที่เดินบนขาสองข้าง และบางชนิดเป็นสัตว์ที่เดินบนสี่ขา อัลลอฮ ทรงบันดาลสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์  แท้จริงอัลลอฮ ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง” 

พญ.จินตนา โยธาสมุทร