การขอบคุณพระเจ้า

การขอบคุณในนิอฺมัต(ความโปรดปราน)ของพระเจ้า มีความหมายตรงข้ามกับ การเนรคุณต่อนิอฺมัตของพระองค์   การขอบคุณพระเจ้ามีความหมายว่า  มนุษย์ทั้งหลายจะต้องเชื่อว่าทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็น โลก , มนุษย์หรือสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นความโปรดปรานจากพระเจ้าทั้งสิ้นและจะต้องรู้ว่ากำลังใช้ชีวิตอยู่ในความโปรดปรานของพระองค์  ดังนั้นจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นไปในทางที่เหมาะสม  ใครก็ตามที่อยู่ในวิถีทางแห่งการขัดเกลาจิตใจจะต้องเป็นผู้ขอบคุณเสมอ

ลำดับขั้นของการขอบคุณพระเจ้า 

การขอบคุณพระเจ้ามีระดับขั้นของมันอยู่   บางทีมนุษย์เข้าใจและรับรู้ถึงความโปรดปรานของพระองค์ได้แบบสมถะเรียบง่ายพร้อมกับใช้ประโยชน์ในสิ่งเหล่านั้นไปในหนทางที่เหมาะสม  เพื่อที่เขาจะได้ไม่ถูกลงโทษในวันกิยามะฮฺแล้วจะได้เข้าสู่สรวงสวรรค์ 

 อัลลอฮฺทรงตรัสว่าไว้ในซูเราะฮฺ บะเกาะเราะฮฺโองการที่ 40 ว่า - จงรำลึกถึงความโปรดปรานของข้า ที่ข้าได้ประทานแก่พวกเจ้า”  เมื่อมีการรำลึกถึงความโปรดปรานและเป็นผู้ขอบคุณต่อความโปรดปรานนั้น    พระองค์ก็จะทรงเพิ่มเพิ่มพูนความโปรดนั้นให้อย่างแน่นอน ตามที่พระองค์ทรงตรัสไว้ในซูเราะฮฺ อิบรอฮีม โองการที่ 7 ว่า - หากพวกเจ้าขอบคุณ ข้าก็จะเพิ่มพูนให้แก่พวกเจ้า”

  แต่บางทีมนุษย์ขอบคุณต่อพระเจ้าแบบผู้รู้ที่ประจักษ์แจ้งแล้ว  หมายถึงเขาจะกล่าวว่า – โอ้ อัลลอฮฺการมีอยู่และความสมบูรณ์ทั้งหมดของมวลสรรพสิ่งรวมทั้งตัวข้าพระองค์เอง เป็นความโปรดปรานที่พระองค์ทรงเมตตาประทานมาให้ และพระองค์เท่านั้นเป็นผู้ดูแลความโปรดปรานทั้งหลายนั้น ไม่ว่าข้าพระองค์จะทานอาหารที่อยู่ในสำรับอาหารใดพระองค์ก็คือผู้ให้เสมอ  หากข้าพระองค์อยู่ต่อหน้าครูผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่แท้จริงแล้วผู้ประทานความรู้คือพระองค์  ดังนั้นไม่ว่ามนุษย์จะอยู่ในสภาวะใดก็ตามพระองค์คือผู้ให้เสมอ   การขอบคุณในรูปแบบดังกล่าวคือการขอบคุณของผู้ที่รู้แจ้งประจักษ์แล้ว  ในรูปแบบนี้ผู้ขอบคุณจะมองผ่านความโปรดปรานโดยมุ่งไปหาผู้ที่ประทานความโปรดปรานเพียงผู้เดียว

บางทีคนเราได้รับผลไม้มาผลหนึ่งก็ดีใจแล้วที่ได้รับมา แต่บางทีคิดเหนือไปกว่านั้น โดยคิดว่าสัตว์และแมลงมากินผลไม้เหล่านี้  ทำอย่างไรที่จะให้เราได้เนื้อของสัตว์เหล่านั้นได้  ถึงแม้ว่าเขาจะได้ขอบคุณต่อความโปรดปรานที่ได้รับผลไม้นั้นแล้ว แต่เขาก็เชื่อว่ายังมีความโปรดปรานที่เหนือไปกว่านั้นคือความโปรดปรานทางด้านจิตวิญญาณ

หรือหากเราจะดูในเรื่องความรู้และวิชาการหรือเรื่องจริยธรรม หากใครได้รับความโปรดปรานด้านความรู้และขอบคุณพระองค์ที่ทรงประทานความรู้และความเข้าใจให้จนได้รับตำแหน่งผู้รู้ หรือบางทีทรงประทานโอกาสให้เราได้ปฏิบัติในสิ่งที่ดีงามเช่นการได้ช่วยเหลือผู้คนแล้วเราก็ขอบคุณต่อโอกาสที่เราได้รับ  สิ่งนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่แล้ว แต่ยังมีเหนือไปกว่านั้น  ซึ่งบางครั้งมนุษย์อาจจะบอกว่า สิ่งเหล่านี้มาลาอิกะฮฺก็ได้รับ แต่เขาเป็นถึง (เคาะลีฟะตุลลอฮฺ) ตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน ซึ่งย่อมจะไม่หยุดเพียงแค่สิ่งเหล่านี้แน่นอน จนในที่สุดแล้วเขาก็จะกล่าวว่า โอ้ อัลลอฮฺสิ่งเหล่านี้เป็นความโปรดปรานที่พระองค์ทรงประทานให้ข้าพระองค์ แต่ความโปรดปรานที่ดีที่สุด ที่ข้าพระองค์ต้องการคือพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้ให้เท่านั้น  เพราะพระองค์เท่านั้นที่ทรงถูกรู้แจ้งประจักษ์แล้วมากที่สุดพระองค์เท่านั้นคือผู้ถูกเคารพสักการะที่ประเสริฐที่สุด  พระองค์เท่านั้นคือผู้ที่ควรยกย่องและเหมาะสมแก่การขอบคุณมากที่สุดและพระองค์เท่านั้นคือผู้ที่น่ารำลึกถึงมากที่สุด ซึ่งในลักษณะเช่นนี้หมายความว่า เขาไม่ต้องการสิ่งอื่นใดนอกจากความรักและความพึงพอใจจากพระองค์เท่านั้น

บางทีความรักแบบจอมปลอมอาจเกิดขึ้นกับคนบางคน เขาจะกระวนกระวายใจและคะนึงหาคนรักอยู่ตลอดเวลาหรือบางทีก็อาจจะทนคิดถึงไม่ไหวเลยก็ว่าได้  หรือบางทีคนที่เข้าร่วมงานรื่นเริงเฉลิมฉลองที่ไม่ยาวนานนักก็อาจจะทำให้หลงใหลตื่นเต้น  แต่ถ้าหากเขาหลงใหลในพระองค์เขาย่อมต้องกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่งเหมือนดังคำกล่าวที่มีอยู่ว่า “อัศจรรย์ยิ่งสำหรับคนที่มีความรักว่าเขาจะนอนหลับได้อย่างไร”  ผลลัพธ์ก็คือบุคคลเช่นนี้จะมองเห็นความโปรดปรานของพระองค์ทั้งหมดรวมอยู่ในความเป็นพระองค์ แล้วเมื่อนั้นเขาก็จะถวายคำขอบคุณต่อพระองค์ หมายถึงมอบความรัก และถวิลหาพระองค์อยู่ตลอดเวลา

สภาพเช่นนี้เองที่กุรอานกล่าวว่า “หากพวกเจ้าขอบคุณ ข้าก็จะเพิ่มพูนให้แก่พวกเจ้า” และมนุษย์ก็จะได้รับสถานภาพที่สูงที่สุด หรืออาจกล่าวได้ว่า – เป็นเพราะมนุษย์เชื่อว่าการขอบคุณพระเจ้าอยู่ในกลุ่มเดียวกับการรู้ประจักษ์แจ้งต่อพระเจ้า เหตุนี้เองพระองค์จึงเพิ่มความสมบูรณ์แห่งตัวตนให้กับเขาขึ้นอีก   ซึ่งไม่เพียงแต่ประทานความโปรดปรานให้เท่านั้น แต่ยังมีมากไปกว่านั้นอีก   เรารู้ดีว่าหากขอบคุณต่อความโปรดปรานที่พระองค์ทรงประทานให้   พระองค์ก็จะทรงเพิ่มพูนความโปรดปรานนั้นให้แก่เขา แต่ถ้าหากเขาขอบคุณต่อผู้ที่ให้ความโปรดปรานนั้น  พระองค์ก็จะเพิ่มพูนความสมบูรณ์แห่งตัวตนให้กับเขายิ่งขึ้นไปอีก  หมายถึงพระองค์จะยกสถานภาพของเขาให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก หากเขาอยู่ในตำแหน่งของผู้ประกอบคุณงามความดี พระองค์ก็จะยกให้เขาไปสู่ตำแหน่งผู้ที่ได้รับความดีงามแล้ว  หากเขาอยู่ในตำแหน่งผู้ได้รับความดีงามแล้ว พระองค์ก็จะยกเขาไปสู่ตำแหน่งมนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบ

  และเป็นไปได้ที่ว่าอาจจะมีคนที่ขอบคุณต่อความโปรดปรานที่พระองค์ทรงประทานให้ แต่เขากลับไม่รู้จักพระองค์ หมายความว่าเขาใช้ความพยายามเพื่อค้นหาความโปรดปรานของพระองค์เท่านั้นแล้วก็ใช้มันไปในทางที่เหมาะสมด้วยซ้ำเมื่อได้มา   โดยเขาปฏิบัติในสิ่งที่เป็นวาญิบและมุสตะฮับ พร้อมกับละทิ้งสิ่งที่เป็นฮะรอมและมักรูฮ์ โดยมีเป้าหมายที่จะให้ตัวเองรอดพ้นจากการลงโทษในนรกและเข้าสู่สรวงสวรรค์  ในความเป็นจริงแล้วการกระทำเพียงเท่านี้เท่ากับกำลังเนรคุณต่อความโปรดปรานของพระองค์ เพราะว่าเขาไม่ได้ขอบคุณต่อผู้ให้ความโปรดปรานนั้นเลยอย่างแท้จริง ที่เขาทำการขอบคุณก็เพื่อต้องการสิ่งตอบแทนและต้องการความเพิ่มพูนของความโปรดปรานเท่านั้น ก็เท่ากับว่าเขาขอบคุณโดยมีเป็นหมายเพื่อต้องการให้ความโปรดปรานเพิ่มพูนขึ้นเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ได้เป็นการขอบคุณแบบจริงใจ

ลำดับขั้นสูงสุดของการขอบคุณพระเจ้า

ขั้นสูงสุดของการขอบคุณพระเจ้า คือการยอมรับในความต่ำต้อยของตนเองที่มีต่อพระเจ้า เพราะการขอบคุณด้วยกับคำพูดหรือด้วยใจ การขอบคุณดังกล่าวก็เป็นความโปรดปรานที่พระองค์ทรงมอบให้อีกเช่นกัน เพราะถ้าหากต้องการจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ขอบคุณพระเจ้าก็ต้องขอบคุณความโปรดปรานที่ได้รับนี้ด้วย ดังนั้นสรุปได้ว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าได้เลย

ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.)กล่าวคำขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า : “โอ้ อัลลอฮฺทุกครั้งที่พวกเรากล่าวสรรเสริญและขอบคุณพระองค์ เราจะต้องกล่าวคำสรรเสริญและขอบคุณพระองค์อีก” กล่าวขอบคุณที่พระองค์ทรงทำให้การรับรู้และการเคลื่อนไหวของเราไม่ทำงานผิดพลาด ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพระองค์ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรเป็นของเราหรือของคนอื่นเลย เพราะคนอื่นก็ได้รับความโปรดปรานจากพระองค์เช่นเดียวกับเรา ดังนั้นการขอบคุณที่ดีที่สุดคือการยอมรับถึงความต่ำต้อยของเราต่อพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น

ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) กล่าวในคำขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าอีกว่า : “ (โอ้ อัลลอฮฺ) พวกเราไม่สามารถเคารพภักดีพระองค์ตามสิทธิ์ที่พระองค์สมควรได้รับเลย ”   ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า : จงรู้ไว้เถิดว่าผู้ที่มีความรู้อย่างลึกซึ้ง(ความลึกซึ้งของความรู้ที่พวกเขาได้รับนั้น) เป็นสาเหตุทำให้ยอมรับถึงความต่ำต้อยของตัวเอง

แต่มนุษย์ต้องไม่นำคำกล่าวที่ว่าเราไม่สามารถขอบคุณพระเจ้าได้มาเป็นข้ออ้างที่จะละทิ้งการขอบคุณพระองค์

อัลลอฮฺตรัสไว้ในกุรอานเกี่ยวกับหนทางที่มนุษย์จะนำตัวเองไปสู่การยอมรับถึงความต่ำต้อยของตนเองว่า

และหากว่าต้นไม้ทั้งหมดที่มีอยู่ในแผ่นดินเป็นปากกา และมหาสมุทร ที่มีสำรองไว้อีกเจ็ดมหาสมุทร(มาเป็นน้ำหมึก)ความโปรดปรานของอัลลอฮฺก็จะยังไม่หมดสิ้นไป  แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ (ซูเราะฮฺลุกมาน โองการที่ 27)

ในอีกโองการหนึ่งตรัสว่า

และหากพวกเจ้าจะนับความโปรดปรานของอัลลลอฮ์แล้ว พวกเจ้าก็ไม่อาจจะคำนวณมันได้ (ซูเราะฮฺอิบรอฮีม โองการที่ 34)

 และความโปรดปรานทั้งหมดนั้นเป็นสิทธิ์ของมนุษย์ และมนุษย์เองต้องใช้ประโยชน์จากความโปรดปรานทั้งหมดนั้นอย่างถูกต้อง เพราะแท้จริงแล้วโลกนี้คือสำรับอาหารแห่งพระผู้เป็นเจ้า

อิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) กล่าวในคำขอพรว่า : “โอ้ อัลลอฮฺ พระองค์เป็นผู้ทรงมอบอำนาจและความประเสริฐให้แก่มนุษย์เพื่อให้มนุษย์เป็นตัวแทนของพระเจ้าอีกทั้งเป็นเจ้าของสรรพสิ่งทั้งหลาย” อันที่จริงแล้วตัวแทนของพระเจ้าซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดพระเจ้าจะได้อำนาจจากพระเจ้าจนสามารถมีอำนาจเหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย

แต่ทว่าอำนาจดังกล่าวนั้นพวกเขาได้รับจากหนทางของปฏิบัติตนจนมีอำนาจควบคุมบางสิ่งได้ แต่อันที่จริงอำนาจเหล่านั้นก็มาจากพระองค์นั่นเองไม่ใช่มาจากมนุษย์

จากตรงนี้เองเป็นมุสตะฮับสำหรับคนที่กำลังขับขี่ยานพาหนะที่จะกล่าวว่า : มหาบริสุทธิ์เป็นของพระองค์ผู้ทรงควบคุมยานพาหนะนี้ให้แก่เรา และเรานั้นไม่สามารถจะควบคุมมันได้ และแท้จริงเราจะต้องเป็นผู้กลับไปสู่พระเจ้าของเราอย่างแน่นอน (ซูเราะฮฺ ซุครุฟ โองการที่ 13-14)

             มีรายงานว่าทุกครั้งที่ท่านอิมามศอดิก (อ.) ขี่ยานพาหนะท่านจะอ่านโองการข้างต้น และหลังจากนั้นจะกล่าว ซุบฮานัลลอฮ์  อัลฮัมดุลิลลาฮ์  ลาอิลาฮาอิลลัลลอฮ์ อย่างละ 7 ครั้ง