การเดินทางสู่แผ่นดินฮิญาซ

ข้าพเจ้ามาถึงเจดดะฮ์และพบเพื่อนของข้าพเจ้าชื่อ อัลบะซีร เขาดีใจมากที่พบข้าพเจ้า และนำข้าพเจ้าไปยังบ้านของเขา เขาแสดงความเอื้ออารีในการต้อนรับข้าพเจ้าเป็นอย่างดี เราใช้เวลาไปในการท่องเที่ยวไปรอบเมืองโดยรถยนต์ของเขา ทำพิธีอุมเราะฮ์ด้วยกัน ใช้เวลาสองสามวันด้วยการสักการะพระผู้เป็นเจ้าและปฏิบัติภารกิจอื่นๆ เกี่ยวกับศาสนาอีกมาก ข้าพเจ้าขอโทษเพื่่อนที่มาช้า เพราะอยู่ในอิรักนานเกินไป และบอกให้เขาฟังถึงการค้นพบใหม่ของข้าพเจ้า หรืออีกนัยหนึ่งก็คือความเชื่อถือใหม่นั่นเอง เขาเป็นคนใจกว้างและมีความรู้เป็นอย่างดี ดังนั้น เขาจึงพูดกับข้าพเจ้าว่า “นั่นเป็นความจริง เพราะผมได้ยินมาว่าพวกเขามีผู้ทรงความรู้อยู่มากมาย แต่ก็มีพวกหลงผิดอีกมาก ที่ทำให้เราเดือดร้อนในระหว่างการบำเพ็ญฮัจญ์”

ข้าพเจ้าถามเขาว่า “อะไรคือปัญหาที่พวกเขาก่อขึ้น” เขาตอบว่า “พวกเขานมาซรอบหลุมฝังศพ และเข้าไปในสุสานบาเกียะอ์เป็นกลุ่มๆพลางร้องไห้และคร่ำครวญ นอกจากนั้นพวกเขายังพาดินชิ้นหนึ่งติดตัวไปด้วยเพื่อนมาซ โดยวางหน้าผากบนมัน และถ้าพวกเขาไปเยี่ยมสถานที่ฝังศพลุงของท่านศาสดามุฮัมมัดคือ ท่านฮัมซะฮ์ที่ภูเขาอุฮุด พวกเขาก็จะยืนไว้อาลัยมีการตีอกชกตัว และคร่ำครวญดุจดังว่าท่านฮัมซะฮ์เพิ่งจะตายใหม่ๆนั่นเทียว ด้วยเหตุนั้นรัฐบาลซาอุดิอารเบัย จึงสั่งห้ามพวกเขามิให้ไปเยี่ยมสถานที่ฝังศพท่านเหล่านั้น”

ข้าพเจ้าหัวเราะและพูดว่า “เพราะเหตุนั้นหรือที่คุณว่า พวกเขาเหล่านั้นหลงผิดไปจากอิสลาม” เขาตอบว่า “นั่นเป็นประการหนึ่งและยังมีเหตุผลอื่นๆอีก พวกเขามาเยี่ยมหลุมฝังศพของท่านอบูบักร ท่านอุศมานและสาปแช่งท่านทั้งสอง และยังมีบางคนยังขว้างส่ิงของสกปรกและเศษขยะลงไปยังหลุมฝังศพของทั้งสองนั้นอีกด้วย”

เมื่อข้าพเจ้าได้ยินการกล่าวหาเช่นนั้น ข้าพเจ้าจึงรำลึกได้ว่าบิดาของข้าพเจ้าก็เคยบอกข้าพเจ้าว่า เมื่อท่านกลับจากการบำเพ็ญฮัจญ์ ท่านเห็นพวกนั้นขว้างปาส่ิงสกปรกลงไปในหลุมฝังศพของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ) ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บิดาของข้าพเจ้าไม่ได้เห็นด้วยตาของท่านเอง เพราะท่านพูดว่า “เราสังเกตเห็นทหารบางคนจากกองทัพซาอุดิอารเบียตีผู้บำเพ็ญฮัจญ์สองสามคนด้วยไม้ และเมื่อเราประท้วงต่อการปฏิวัติอันน่าอดสูต่อผู้แสวบุญยังบัยตุลลอ์ฮ พวกเขาก็กล่าวว่า พวกนี้ไม่ใช่มุสลิมพวกเขาเป็นชีอะฮฺ ซึ่งนำส่ิงสกปรกมาขว้างปาหลุมฝังศพของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ) บิดาของข้าพเจ้ากล่าวว่า “ดังนั้นเราจึงปล่อยพวกเขาไว้ที่นั่น และได้สาปแช่งพวกเขาและถ่มน้ำลายรดพวกเขา”

และบัดนี้ ข้าพเจ้าก็ได้ยินจากเพื่อนชาวซาอุดิอารเบีย ซึ่งเกิดที่นครมะดีนะฮ์ อัลมูเนาวาเราะฮ์ว่า พวกเขาเยี่ยมเยียนหลุมฝังศพของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ) และขว้างสิ่งสกปรกไปยังหลุมฝังศพของท่านอบูบักรและท่านอุมัร ข้าพเจ้าจึงเกิดสงสัยต่อเรื่อง 2 เรื่องนี้ เพราะข้าพเจ้าได้ไปบำเพ็ญฮัจญ์มาแล้ว และเห็นห้องอันเป็นสิริมงคลที่ซึ่งสถานที่ฝังศพของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ) ของท่านอบูบักรและท่านอุมัรถูกใส่กุญแจไว้ ไม่มีใครจะสามารถเข้าไปใกล้เพื่อจะไปแตะต้องหน้าต่างหรือบานประตู หรือจะไปขว้างส่ิงหนึ่งสิ่งใดเข้าไปข้างในได้เลย อันเนื่องมาจากเหตุ 2 ประการคือ  ประการที่หนึ่งเพราะไม่มีช่องว่าง

ประการที่สองคือ มียามที่เข้มงวดกวดขันที่เป็นทหารเฝ้าประตูอยู่ทุกประตู ยามทุกคนจะถือแซ่อยู่ในมือเพื่อตีผู้แสวงบุญที่เข้าไปใกล้ห้องนั้น จึงน่าจะเป็นไปได้อย่างย่ิงว่า ทหารซาอุดิอารเบียบางคนที่มีใจอคติต่อชีอะฮฺ ได้กล่าวหาว่าชาวชีอะฮฺด้วยข้อกล่าวหานั้น เป็นการให้เหตุผลอันเป็นการกร้าวร้าวรุกรานต่อชีอะฮฺ หรือเพื่อยั่วยุมุสลิมอื่นๆ ให้ต่อสู้กับชีอะฮฺ เพื่อแพร่ข่าวลือขึ้นในประเทศต่างๆว่าชีอะฮฺเกลียดชังท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺแล้วขว้างส่ิงสกปรกไปยังหลุมฝังศพของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ)ทั้งนี้เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว

ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าเชื่อถือ เล่าให้ข้าพเจ้าฟังดังเรื่องต่อไปนี้ “เรากำลังเวียนรอบ (ฏอวาฟ)บัยตุลลอฮ์อยู่ ในขณะนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งปวดท้องเป็นกำลังและได้อาเจียนราดพื้น ทหารที่กำลังเฝ้าหินดำอยู่เห็นเช่นนั้น ได้ตีชายนั้นทันที และกล่าวหาว่าเขาทำให้กะอ์บะฮ์สกปรก เขาถูกนำตัวไปยังที่ซึ่งไม่สมควรแห่งหนึ่ง ถูกสอบสวนและถูกประหารในวันนั้นเอง”

เรื่องราวอันเหมือนละครนี้วนเวียนอยู่รอบหัวใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดเป็นเวลาประมาณหนึ่งวินาที เกี่ยวกับการให้เหตุผลของเพื่อนชาวซาอุดิอารเบียของข้าพเจ้าที่ดูหมิ่นชีอะฮฺ แต่ไม่พบส่ิงใดนอกจากความาจริงที่ว่า พวกเขาตีอกชกตัว ร้องไห้ สุหญูด (ก้มลงกราบ) บนแผ่นดินชิ้นหนึ่งนอกเหนือไปจากการนมาซข้างหลุมฝังศพเท่านั้นเอง ข้าพเจ้าถามตัวเองว่า “นี่่เป็นข้อพิสูจน์ที่พอเพียงแล้วหรือที่จะดูหมิ่น ผู้ที่เชื่อมั่นว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ(ซบ.)และว่ามุฮัมมัดเป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์ทั้งๆที่พวกเขาก็นมาซ บริจาคทาน ถือศีลอด ไปบำเพ็ญฮัจญ์ กระทำความดีและละเว้นความชั่วเหมือนมุสลิมทั้งมวล”

ข้าพเจ้าไม่ต้องการที่จะโต้เถียงกับเพื่อนของข้าพเจ้า และอภิปรายโดยไร้ประโยชน์กับเขา ดังนั้นข้าพเจ้าจึงกล่าวโดยย่อว่า “ขออัลลอฮฺทรงทำให้เราได้รับแสงสว่าง และทรงนำเราสู่ทางที่เที่ยงตรง ขององค์อัลลอฮฺทรงสาปแช่งศัตรูของอิสลามและมุสลิมด้วยเถิด”

ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าเวียนรอบกะอ์บะฮ์และกระทำพิธีอุมเราะฮ์ และเยี่ยมมักกะฮ์อันมีสิริมงคล ที่ซึ่งข้าพเจ้าพบผู้มาเยี่ยมสองสามคน ข้าพเจ้าจะนมาซ และขอพรต่ออัลลอฮฺอย่างจริงใจ เพื่อให้พระองค์เปิดตาของข้าพเจ้า และนำข้าพเจ้าไปสู่ความจริง ข้าพเจ้ายืนอยู่ใกล้มะกอม (แท่นหิน)ของท่านศาสดาอิบรอฮีม(อ.)และกล่าวคำเหล่านี้จากอัล-กุรอาน

“และจงต่อสู้เพื่ออัลลอฮฺ ซึ่งเป็นการต่อสู้อย่างแท้จริงเพื่อพระองค์ พระองค์ได้ทรงคัดเลือกพวกเจ้า และพระองค์มิได้ทรงทำให้เป็นการลำบากแก่พวกเจ้าในเรื่องของศาสนา ศาสนาคือศาสนาของอิบรอฮีม บรรพบุรุษของพวกเจ้า พระองค์ทรงเรียกชื่อพวกเจ้าว่ามุสลิม ในคัมภีร์ก่อนๆและในอัล-กุรอานเพื่อศาสดา(มุฮัมมัด)จะได้เป็นพยานต่อพวกเจ้า และพวกเจ้าจะได้เป็นพยานต่อมนุษย์ทั้งมวล ดังนั้น พวกเจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการนมาซและจงบริจาคทาน(ซะกาต)และจงเชื่อมั่นในอัลลอฮฺ(ซบ.)พระองค์คือ ผู้ทรงคุ้มครองพวกเจ้า ผู้ทรงคุ้มครองที่ดีเลิศและผู้ช่วยเหลือที่ดีที่สุด”(บทที่ 22 โองการที่ 78)

หลังจากนั้น ข้าพเจ้าจึงเร่ิมขอจากท่านศาสดาอิบรอฮีม(อ.) ตามอัล-กุรอาน ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า

“โอ้ท่านบิดา ท่านผู้ซึ่งเรียกเราว่ามุสลิม ลูกหลานของท่านไม่เห็นพ้องต้องกันหลังจากท่าน บางคนเป็นชาวยิว บางคนเป็นชาวคริสต์ และบางคนเป็นมุสลิม ชาวยิวนั้นแบ่งออกเป็น 71จำพวก ชาวคริสต์ แบ่งออกเป็น 72 จำพวก และมุสลิมแบ่งออกเป็น 73 จำพวก ทั้งมวลนั้นอยู่ในความมืดอย่างที่ท่านบอกแก่ลูกหลานของท่านคือ ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ)แต่มีจำพวกเดียวเท่านั้นที่ยังซื่อสัตย์ต่อคำสาบานของท่าน โอ้ท่านบิดา”

นี่หรือคือหนทางที่อัลลอฮฺ(ซบ.)ทรงต้องการให้เกิดขึ้นกับบรรดาส่ิงที่พระองค์ทรงสร้างอย่างเช่นที่พวกเชื่อถือในโชคชะตาได้เชื่อถือ ดังนั้นอัลลอฮฺ(ซบ.)ได้ทรงกำหนดชะตากรรมให้แก่แต่ละวิญญาณ ให้เป็นยิวเป็นคริสต์หรือเป็นมุสลิม เป็นผู้บูชาพระเจ้าองค์เดียวหรือพระเจ้าหลายองค์ หรือเป็นเพราะความรักโลกนี้ พวกเขาจึงหันเหออกจากคำสั่งของอัลลอฮฺ(ซบ.) ทำให้พวกเขาลืมอัลลอฮฺ ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้พวกเขาลืมตัวพวกเขาเอง

ข้าพเจ้าไม่สามารถทำให้ตัวเองเชื่อถือในลัทธิโชคชะตาได้ ซึ่งกล่าวว่าอัลลอฮฺ(ซบ.)ทรงกำหนดโชคชะตาไว้แต่ละบุคคล แต่ข้าพเจ้าค่อนข้างเชื่อว่าอัลลอฮฺ(ซบ.)ทรงสร้างเรามา และบันดาลให้เราเข้าใจส่ิงที่ถูกและส่ิงที่ผิด และทรงส่งศาสนทูตของพระองค์มาเพื่ออธิบายเรื่องที่สับสนให้เราเข้าใจ และแสดงให้เราทราบว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่มนุษย์นั้นตกอยู่ภายใต้เวทมนต์แห่งการล่อใจของชีวิตนี้ และด้วยความจองหอง การเห็นแก่ตัว ความโง่ ความอยากรู้อยากเห็น ความดื้อดึง ความอยุติธรรม และการกดขี่ จึงทำให้เขาหันเหไปจากแนวทางที่ถูกต้องและดำเนินรอยตามมารร้าย

พวกเขาทำให้ตนเองห่างไกลจากพระผู้ทรงเมตตา พวกเขาจึงหลงทางอัล-กุรอานได้กล่าวถึงแนวทางที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นคำกล่าวของอัลลอฮฺ(ซบ.) “แท้จริงอัลลอฮฺ(ซบ.)นั้นจะไม่ทรงอธรรมต่อมนุษย์แต่อย่างใด แต่มนุษย์ต่างหาก ที่อธรรมต่อตัวพวกเขาเอง”(บทที่ 10 โองการที่ 44)

“โอ้ท่านศาสดาอิบรอฮีม บิดาของเรา เราไม่สามารถจะประณามชาวยิว หรือคริสต์ได้ ที่ไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้งอ หลังจากแนวทางที่ถูกต้งอนั้นถูกนำแสดงแล้ว จงดูประชาชาตินี้สิ ที่พระอัลลอฮฺทรงช่วยเหลือโดยส่งบุตรของท่าน คือศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ)มา ผู้ซึ่งนำประชาชาติออกจากความมืดสู่แสงสว่าง และทรงทำให้ประชาชาตินี้ เป็นประชาชาติที่ดีที่สุดในโลก แต่ประชาชาตินี้ถูกแบ่งออกเป็นรัฐซึ่งทำสงครามกันและกันและปฏิเสธกันและกัน ทั้งๆที่ความจริงมีอยู่ว่า ศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺได้ตักเตือนและบังคับพวกเขาโดยกล่าวว่า “เป็นส่ิงต้องห้ามที่มุสลิมจะโกรธกัน โดยไม่พูดจากับพี่น้องของเขาเกิน 3 วัน”

อะไรเล่าที่เกิดกับประชาชาตินี้ ซึ่งถูกแบ่งแยกออกเป็นรัฐเล็กๆและรบราฆ่าฟันกันเอง บางรัฐไม่รู้จักกันเลยก็มี โอ้ท่านศาสดาอิบรอฮีมบิดาของเรา อะไรเล่าที่บังเกิดแก่ประชาชาตินี้ซึ่งเป็นประชาชาติที่ดีที่สุดมาก่อนในโลก มันเคยปกครองประเทศจากตะวันออกสู่ตะวันตก และให้ความรู้และแสงสว่างแก่ประชาชาติอ่ื่นๆมาแล้ว

ทุกวันนี้ประชาชาตินี้ตกต่ำลง ย่ิงกว่าคราใดในประวัติศาสตร์ ดินแดนถูกละเมิด ประชาชนถูกขับไล่ออกไป มัสยิดอัล อักซอถูกครองครองโดยกลุ่มไซออนิสต์ แลไม่มีใครที่จะปลดปล่อยได้ ถ้าหากผู้ใดไปเยี่ยมประเทศของเขาแล้ว จะไม่พบอะไรเลยนอกจากความยากจนค่นแค้น ประชาชนหิวกระหาย ดินแดนแห้งแล้ง มีโรคภัยไข้เจ็บ มารยาทอันเลวทราม มีความล้าหลังทางวิชาการและทางปัญญา มีการกดขี่ การประหัตประหารกันและความสกปรก

เป็นการเพียงพอแล้ว เมื่อเปรียบเทียบห้องน้ำของชาวยุโรปตะวันตกกับห้องน้ำของประเทศของเร จะเห็นได้ว่ามันแตกต่างกันขนาดไหน ในเรื่องสุขภาพระหว่างคนสองกลุ่มนี้ เป็นส่ิงน่าเยาะเย้ยที่จะพบว่า อนามัยของประเทศของเรานั้น อยู่ในระดับตกต่ำเหลือเกิน ทั้งๆที่ความจริงอิสลามได้สอนเราว่า “ความสะอาดเป็นเครื่องหมายของการศรัทธา และความสกปรกเป็นเครื่องหมายของมารร้าย” ความเชื่อหรือการศรัทธานั้นได้เคลื่อนตัวไปอยู่ในยุโรป และมารร้ายได้เคลื่อนตัวมาอยู่ท่ามกลางพวกเรากระนั้นหรือ

ทำไมมุสลิมจึงกลัวที่จะประกาศความเชื่อมั่นของเขา แม้ในประเทศของเขาเอง ทำไมมุสลิมจึงไม่สามารถแต่งกาย ตามแบบอย่างของอิสลามได้ เพราะอะไรผู้ที่บาปหนาจึงดื่มแอลกอฮอล์ต่อหน้าสาธารณชน และกระทำความชั่วที่น่ากลัว ซึ่งมุสลิมไม่สามารถจะแก้ไขพวกเขาให้ดีขึ้น และแนะแนวทางที่ถูกต้องให้แก่เขาได้ ความจริงข้าพเจ้าได้ทราบว่า ในประเทศอิสลามบางประเทศ เช่น อิยิปต์ หรือโมรอคโค มีพ่อแม่เป็นจำนวนมากที่ส่งลูกสาวของตนไปขายตัว เพราะความยากจนและเพราะความจำเป็น ดังนั้นไม่มีพลังและอำนาจใดๆนอกจากของอัลลอฮฺ(ซบ.)ผู้ทรงสูงส่งและทรงอำนาจย่ิง

โอ้ พระผู้เป็นเจ้า เพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงละทิ้งประชาชาตินี้ให้อยู่ในความมืด โอ้ เปล่า พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขออภัยโทษ เพราะประชาชาตินี้ต่างหากที่ละท้ิงพระองค์และเลือกเอาแนวทางของมารร้ายเป็นทางเดิน และพระองค์ด้วยรพระปรีชาญาณและอำนาจของพระองค์ได้ทรงกล่าวไว้ในอัลกรุอานว่า

“และผู้ใดผินหลังออกจากพระผู้ทรงกรุณาปรานี เราจะให้ชัยฏอนตัวหนึ่งแก่เขา แล้วมันก็จะเป็นสหายของเขา” (บทที่ 43 โองการที่ 36)

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความเสื่อมโทรมของประชาชาติอิสลาม ที่ตกต่ำลงสู่สภาพอันต่ำต้อยแห่งความล้าหลังนี้ เป็นเครื่องหมายหนึ่งแห่งการหันเหออกนอกทางที่เที่ยงแท้ และส่วนน้อยหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดของ 73 จำพวก คงไม่สามารพทำให้โชคชะตาของประชาติทั้งมวล กระทบกระเทือนได้เลย ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺกล่าวว่า “เจ้าถูกส่งให้กระทำความดีและละเว้นความชั่ว มิฉะนั้นอัลลอฮฺ(ซบ.)จะให้ผู้ที่ชั่วร้ายควบคุมเจ้าแล้วเมื่อคนดีร้องเรียกเขา ก็ไม่มีใครฟังเขาเลย”

“โอ้ พระเจ้าของข้าพระองค เราเชื่อมั่นในส่ิงที่พระองค์ทรงประทานมายังเรา และเราดำเนินตามท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ) ดังนั้นจงบันทึกไว้ด้วยว่าเราเป็นผู้ศรัทธา โอ้พระเจ้าของเราโปรดอย่างเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราหลังจากที่พระองค์ได้ทรงให้แสงสว่างแก่เราแล้ว โปรดเมตตาเราเพราะพระองค์เป็นผู้ทรงให้เสมอ โอ้ พระผู้เป็นเจ้าแห่งเรา เราได้กระทำอยุติธรรมแก่ตัวเราเอง หากพระองค์ไม่ทรงอภัยโทษให้เราและไม่ทรงเมตตาเราแล้ว เราจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุนอย่างแน่นอน”

ข้าพเจ้าได้เดินทางไปยังเมืองมะดีนะฮ์ อัล มุเนาวาเราะฮ์ พร้อมด้วยจดหมายฉบับหนึ่งจากเพื่อนของข้าพเจ้าคือ อัลบะซีร ซึ่งมีไปถึงญาติของเขาคนหนึ่งที่นั่น เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้พักอยู่กับเขาเมื่อข้าพเจ้าไปถึงมะดีนะฮ์

เขาแจ้งให้ญาติของเขาทราบทางโทรศัพท์ และเมื่อข้าพเจ้าไปถึงเขาจึงมาต้อนรับและให้ข้าพเจ้าพักที่บ้านของเขา เมื่อข้าพเจ้าไปถึงแล้ว ได้ไปเยี่ยมสถานฝังศพของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ) ข้าพเจ้าสวมใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุดหลังอาบน้ำ มีผู้คนเพียงไม่กี่คน เมื่อเปรียบเทียบกับฤดูกาลทำฮัจญ์ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงยืนอยู่หน้าสถานที่ฝังศพของท่านศาสดาของท่านอบูบักรและของท่านอุมัร นับเป็นสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำในระหว่างพิธีฮัจญ์ที่แล้ว เพราะมีคนมากมายเหลือเกินในตอนนั้น ขณะที่ข้าพเจ้าจะเข้าไปกระทบประตูเพื่อขอพร ยามคนหนึ่งก็มาเตือนข้าพเจ้าไว้ และเมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นนาน เพื่อขอพรและนมาซ ยามก็สั่งให้ข้าพเจ้าออกไป ข้าพเจ้าพยายามจะพูดกับยามคนนั้นเพื่อทำความเข้าใจ แต่ก็ไม่เป็นผล

ข้าพเจ้ากลับไปยังสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นั้นอีกครั้งหนึ่ง และนั่งลงเพื่ออ่านอัล-กุรอาน โดยพยายามอ่านอย่างดีที่สุด ข้าพเจ้าอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะคิดว่าท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ)กำลังฟังข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้าพูดกับตนเองว่า “เป็นไปได้หรือที่ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ)จะถึงแก่กรรมอย่างมนุษย์ธรรมดา ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมเราจึงกล่าวในเวลานมาซของเราว่า “ความสันติสุขจงมีแด่ท่าน โอ้ ท่านศาสนทูต และขอความเมตตาจากอัลลอฮฺ(ซบ.) และความมีสิริมงคลจากพระองค์จงประสบแด่ท่าน” ในรูปแบบที่ดูเหมือนว่าเรากำลังทักทายท่าน มวลมุสลิมเชื่อกันว่า ท่านศาสดาคิดรยังไม่ตาย และว่าท่านจะตอบรับการทักทายของใครก็ตาม ที่ทักทายท่าน

ในทำนองเดียวกัน ผู้ดำเนินตามแนวทางซูฟีก็เชื่อว่าเชคของพวกเขา เช่น อะฮ์มัด อัตตีญาณี หรืออับดุลกอดีร อัล ญีลานี ได้มาหาพวกเขา ขณะที่พวกเขายังตื่นอยู่ ไม่ใช่เวลาหลับ ดังนั้น ทำไมเราจึงกระอักกระอ่วนใจที่จะกระทำการอันสูงส่งนี้แก่ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ)ไม่ได้ทั้งๆที่ท่านเป็นมนุษย์ที่ล้ำเลิศกว่ามนุษย์ทั้งปวง แต่ส่ิงที่รังรองได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ มวลมุสลิมนั้นไม่กระอักกระอ่วนใจ ที่จะปฏิบัติต่อท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ) เว้นแต่พวกวะฮาบีย์เท่านั้น เพราะด้วยเหตุหลายประการ พวกเขาทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเฉยเมยและเหินห่างไป ข้าพเจ้าพบว่ามารยาทของพวกเขาหยาบคาย เพราะพวกเขาปฏิบัติต่อมุสลิมอื่นๆ อย่างเกรี้ยวกราด เมื่อเห็นว่าคนเหล่านั้นไม่เห็นพ้องกับความเชื่อของพวกเขา

ข้าพเจ้าไปเยี่ยมสุสานอัลบาเกียะอ์ครั้งหนึ่ง และขณะที่ข้าพเจ้ากำลังขอความเมตตาจากวิญญาณของลูกหลานท่านศาสดามุฮัมมัด(อะฮ์ลุลบัยต์)อยู่ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นชายชราคนหนึ่ง ซึ่งยืนร้องไห้อยู่ใกล้ข้าพเจ้า เพราะเหตุนั้นทำให้ข้าพเจ้าเชื่อว่าเขาเป็นชีอะฮฺคนหนึ่ง เขาเตรียนตัวหันหน้าไปทางกิบละฮ์เพื่อเริ่มทำนมาซ

ทันใดนั้น มีทหารคนหนึ่งว่ิงไปหาเขา ดุจดังว่าติดตามดูการเคลื่อนไหวของเขาอยู่ก่อนแล้ว ทหารเตะชายผู้นั้นขณะที่เขากำลังนมาซ ชายผู้นั้นล้มลงสิ้นสติทันที ทหารคนนั้นทุบตุเขาและด่าเขา ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจต่อการกระทำของทหารต่อชายชราผู้นั้น และคิดว่าเขาอาจถูกฆ่าตายก็ได้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตะโกนไปยังทหารนั้นว่า “แกต้องไม่ทำอย่างนั้นสิ ทำไมแกจึงตีคนที่กำลังนมาซ” ทหารนั้นตอบว่า “แกเงียบนะ อย่ามาเกี่ยวข้องมิฉะนั้นข้าจะทำกับแกอย่างที่ข้าทำกับชายคนนี้”

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าทหารคนนั้นเต็มไปด้วยความกร้าวร้าว จึงหลีกเลี่ยงไปเสีย แต่รู้สึกโกรธเคืองต่อชาวซาอุดิอารเบียที่ปฏิบัติต่อประชาชนตามใจชอบ โดยไม่พิจารณาการกระทำของเขาให้แน่นอนก่อน มีผู้เยี่ยมเยียนหลายคนที่เห็นเหตุการณ์นั้น แต่ส่ิงที่พวกเขาสามารถทำได้ก็เพียงกล่าวว่า “ไม่มีพลังและอำนาจใดๆนอกจากอัลลอฮฺ” เท่านั้น อีกหลายคนกล่าวว่า “เขาควรได้รับปฏิบัติต่อเช่นนั้น เพราะเขานมาซข้างหลุมศพ” ข้าพเจ้าไม่สามารถบังคับตนเองได้จึงตอบแก่เขาไปว่า “ใครเล่าบอกแก่ท่านว่าไม่ควรไปนมาซข้างหลุมฝังศพ” เขาตอบว่า “ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺห้ามเรามิให้ทำเช่นนั้น” ข้าพเจ้าตอบไปทันทีอย่างโกรธเคืองว่า “คุณกำลังโกหกเกี่ยวกับศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ”

ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกว่าจะเป็นอันตราย และกลัวว่าผู้ที่มาเยี่ยมเยียนบางคน อาจจะเรียกทหารมาจัดการกับข้าพเจ้าก็ได้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพูดด้วยเสียงอ่อนว่า “หากว่าท่านศาสดามุฮัมมัดห้ามเราจากการนมาซข้างหลุมศพแล้ว เหตุใดผู้มาเยือนและผู้บำเพ็ญฮัจญ์เป็นล้านๆคน จึงไม่เชื่อฟังท่านและกระทำบาปด้วยการนมาซข้างสถานที่ฝังศพของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ) ของท่านอบูบักร และของท่านอุมัรในมัสยิดของท่านศาสดาอันศักดิ์สิทธิ์และมัสยิดทั่วโลกเล่า

แม้แต่การนมาซข้างหลังหลุมฝังศพเป็นการบาปแล้ว มันควรจะถูกห้ามด้วยความรุนแรงเช่นนี้ด้วยหรือ มันควรจะห้ามด้วยการกระทำอย่างน่ิมนวลไม่ได้หรือ” มีวจนะกล่าวว่าในสมัยท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ มีชายคนหนึ่งเข้ามาในมัสยิดของท่านศาสดา และยืนถ่ายปัสสาวะในมัสยิดต่อหน้าท่านศาสดามุฮัมมัดเอง บรรดาสาวกของท่านศาสดาจึงชักดาบออกมาเพื่อฆ่าเขา แต่ท่านศาสดาหยุดยั้งพวกเขาไว้แล้วกล่าวว่า “ช้าก่อน ปล่อยเขาไป อย่าทำอันตรายเขา จงรดน้ำลงในที่ซึ่งเขาถ่ายปัสสาวะนั้น เพราะเราถูกส่งมาเพื่อทำให้ส่ิงต่างๆง่ายดาย ไม่่ใช่เพื่อทำให้ยากลำบาก เราถูกส่งมาเพื่อเผยแผ่ข่าวดี ไม่ใช่เพื่อทำให้ประชาชนหนีจากเราไป”

บรรดาสาวกได้ฟังเช่นนั้นก็เชื่อฟังคำสั่งของท่าน ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ)จึงเรียกชายคนนั้นมานั่งใกล้ท่านแล้วพูดกับเขาอย่างสุภาพ ท่านอธิบายให้เขาฟังว่าที่แห่งนั้นเป็นบ้านของอัลลอฮฺ(ซบ.) ไม่ควรที่จะทำให้สกปรก ชายผู้นั้นดูเหมือนจะเข้าใจ เพราะหลังจากนั้นเขาก็มามัสยิดเป็นประจำด้วยการแต่งกายอย่างเรียบร้อยและสะอาด อัลลอฮฺผู้ทรงย่ิงใหญ่นั้นถูกต้องที่สุด เมื่อทรงกล่าวแก่ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ)ว่า “และหากเจ้าเป็นผู้ประพฤติหยาบช้า และมีใจแข็งกระด้างแล้วไซร้แน่แท้พวกเขาก็คงแยกตัวออกไปรอบๆเจ้ากันแล้ว” (บทที่ 3 โองการที่ 159)

ผู้มาเยือนบางคนสะเทือนใจเมื่อได้ฟังเร่ืองที่เล่านั้น มีคนหนึ่งนำข้าพเจ้าไปยังด้ายหนึ่งแล้วกล่าว่า “คุณมาจากใหน” ข้าพเจ้าตอบว่า “มาจากตูนิเซีย” เขาจึงกล่าวต่อไปว่าว่า “นี่คุณขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ขอให้ระวังตัวเองและอย่าพูดเช่นนี้อีก นี่เป็นคำเตือนด้วยความหวังดีของข้าพเจ้า”

ข้าพเจ้ารู้สึกโกรธเคืองและขมขื่น เกี่ยวกับผู้ที่่อ้างตนว่าเป็นผู้พิทักษ์ฮะรอมัยน์ (สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สองแห่ง) และปฏิบัติต่อแขกแห่งพระผู้เมตตาด้วยความแข็งกระด้างเช่นนี้ เพื่อต้องการมิให้ผู้ใดแสดงความคิดเห็นออกมาและไม่เห็นพ้องกับความคิดของเขาหรือกล่าวรายงานของท่านศาสดามุฮัมมัดที่ไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของเขา

ข้าพเจ้ากลับไปยังบ้านของเพื่อนใหม่ของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาชื่ออะไร เขานำอาหารมาเลี้ยง นั่งข้างข้าพเจ้าและถามข้าพเจ้าว่าไปอยู่ที่ไหนมา ข้าพเจ้าจึงเล่าเรื่องให้เขาฟังตั้งแต่ต้นจนจบแล้วกล่าวว่า “นี่คุณผมเริ่มไม่พอใจพวกวะฮาบีย์ และค่อนข้างเอนเอียงไปทางชีอะฮฺเสียแล้ว”

ทันใดนั้นสีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนไปทันที และพูดกับข้าพเจ้าว่า “ผมขอเตือนคุณอย่าได้พูดเช่นนั้นอีกต่อไป” แล้วเขาก็จากข้าพเจ้าไปโดยที่ยังทานอาหารไม่เสร็จ ข้าพเจ้าคอยเขาอยู่พักหนึ่งเมื่อเห็นเขาไม่กลับมาข้าพเจ้าจึงเข้านอน ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดวันรุ่งขึ้นด้วยเสียงอะซานปลุกให้ไปนมาซที่มัสยิดท่านศาสดา (ศ็อล) ข้าพเจ้าแลเห็นอาหารไม่ถูกแตะต้องเลย จึงเข้าใจว่าเขาคงไม่ได้กลับมา ข้าพเจ้าเลยกลายเป็นผู้ที่สงสัย และกลัวว่าชายนั้นอาจเป็นสมาชิกคนหนึ่งของหน่วยสืบราชการลับก็ได้ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงออกจากบ้านนั้นไปยังมัสยิดท่านศาสดาในทันทีนมาซและขอพรอยู่ที่นั้น

หลังจากการนมาซตอนบ่าย ข้าพเจ้าเห็นผู้บรรยายคนหนึ่งสอนบทเรียนให้ผู้ที่นมาซอยู่ ข้าพเจ้าจึงเข้าไปหาเขาและทราบภายหลังว่า เขาเป็นกอฎี (ผู้พิพากษา)แห่งเมืองมะดีนะฮ์ ข้าพเจ้าฟังการอธิบายความหมายของอัล-กุรอานบางตอน หลังจากเขาจบการอธิบายแล้วและกำลังจะจากไป ข้าพเจ้าหยุดยั้งเขาไว้แล้วถามว่า “ท่านที่เคารพ โปรดอธิบายถึงความหมายของประโยคในอัล-กุรอานต่อไปนี้ให้ผมทราบหน่อยเถิด คือ

อัลลอฮฺเพียงทรางปราถนาจะขจัดสิ่งโสมมให้สิ้นไปจากพวกเจ้า โอ้ อะฮลุลบัยต์ (สมชิกแห่งครอบครัวท่านศาสดามุฮัมมัด) และพระองค์ทรงประสงค์จะขัดเกลาพวกเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์”  (บทที่ 33 โองการที่ 33 )

ข้าพเจ้าได้ถามเขาว่า “ใครเล่าที่ถูกอ้างว่าเป็นอะฮ์ลุลบัยต์ในคำกล่าวนั้น” เขาตอบข้าพเจ้าทันทีว่า “บรรดาภรรยาท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ) เพราะประโยคนั้นเร่ิมต้นด้วยการกล่าวถึงพวกนางว่า โอ้ บรรดาภรรยาของท่านศาสดา พวกเธอไม่เหมือนหญิงอื่นๆ หากว่าพวกเธอกลัวพระเจ้า”

ข้าพเจ้าจึงพูดกับเขาว่า “แต่ผู้ทรงความรู้ชาวชีอะฮฺกล่าวว่า เป็นอะลี ฟาฏิมะฮ์ อัลฮาซันและอัลฮูเซน” อย่างไรก็ดีข้าพเจ้าก็ไม่เห็นพ้องกับเขา เพราะว่าการเริ่มต้นประโยคกล่าวว่า “โอ้ บรรดาภรรยาของท่านศาสดามุฮัมมัด”แต่ชาวชีอะฮฺตอบข้าพเจ้าว่า ถ้าประโยคนั้นหมายถึงภรรยาของท่านศาสดามุฮัมมัดแล้ว รูปแบบทางไวยากรณ์คงเป็นเพศหญิงตลอดไปแต่อัลลอฮฺผู้ทรงสูงย่ิงกล่าวว่า

“พวกเธอไม่เหมือนหญิงอื่นๆ หากว่าพวกเธอกลัวพระผู้เป็นเจ้าแล้ว จงอ่อนโยนในการพูดของพวกเธอ จงพูด และจงอยู่แต่ในบ้าน อย่างแสดงส่ิงสวยงามของพวกเธอ จงดำรงไว้ซึ่งการนมาซ จงบริจาคซะกาต จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ(ซบ.) และทูตของพระองค์ (คำกริยาทั้งหมดดังกล่าวมาเป็นรูปเพศหญิงทั้งหมด)

แต่ในโองการซึ่งอ้างถึงอะฮ์ลุลบัยต์ รูปกริยาได้เปลี่ยนไป ดังที่พระองค์ทรงกล่าวว่า

“เพื่อขจัดความสกปรกโสมม.....และเพื่อให้พวกเจ้าสะอาดบริสุทธิ์”(คำกริยาอยู่ในรูปไวยากรณ์ของเพศชาย)

เขาขยับแว่่นตา มองข้าพเจ้าแล้วพูดว่า “จงระวังความคิดเห็นอันเป็นพิษภัยนี้ให้ดี พวกชีอะฮฺมักเปลี่ยนโองการของอัลลอฮฺ(ซบ.) ไปตามที่พวกเขาปรารถนา และพวกเขามีหลายโองการที่เกี่ยวกับท่านอิมามอะลีและเครือญาติของท่านที่เราไม่รู้ความหมาย ความจริงแล้วพวกเขามีอัล-กุรอานพิเศษอยู่เล่มหนึ่งต่่างหาก เขาเรียกว่าอัล-กุรอานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ข้าพเจ้าขอเตือนคุณอย่าให้เขาหลอกลวงได้เป็นอันขาด”

ข้าพเจ้าตอบว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกท่าน ผมระวังอยู่แล้ว และผมรู้หลายส่ิงหลายอย่างเกี่ยวกับพวกเขา แต่ผมต้องค้นคว้าเท่านั้น” เขาถามว่า “คุณมาจากไหน” ข้าพเจ้าตอบว่า “ผมมาจากตูนิเซีย” เขาถามว่า “ชื่ออะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ชื่ออัตตีญานี” เขาหัวเราะด้วยความหย่ิงและตอบว่า “ท่านทราบหรือไม่ อะฮ์มัด อัตตีญานีคือใคร” ข้าพเจ้าตอบว่า “เขาคือเชคตามแนวทางซูฟีคนหนึ่ง” เขากล่าวว่า “เขาเป็นตัวแทนเจ้าหน้าที่อาณานิคมฝรั่งเศสคนหนึ่ง และระบอบอาณานิคมฝรั่งเศสนั้นได้ก่อตั้งขึ้นมาในอัลจีเรียและตูนิเซียด้วยการช่วยเหลือของเขา ถ้าท่านมีโอกาสไปปารีส ประเทศฝรั่งเศส จงไปยังหอสมุดแห่งชาติ และอ่านสารานุกรมฝรั่งเศสภายใต้คำ “เอ” แล้วท่านจะพบว่า ฝรั่งเศสได้ให้เหรียญตราแก่อะฮ์มัด อัตตีญานี ผู้ซึ่งให้ความช่วยเหลืออย่างประมาณค่ามิได้แก่พวกเขา”

ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจในคำพูดของเขา แต่ข้าพเจ้าก็ได้ขอบคุณเขาและอำลาเขา

ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองมะดีนะฮ์ตลอดทั้งสัปดาห์ ได้นมาซ 40 ครั้ง และไปเยี่ยมเยียนสถานศักดิ์สิทธิ์เกือบทุกแห่ง ระหว่างที่อยู่ที่นั่นข้าพเจ้า พยายามสังเกตอย่างระมัดระวังที่สุด โดยเฉพาะอย่างย่ิงพวกวะฮาบีย์

ข้าพเจ้าออกจากมะดีนะฮ์ อัลมุเนาวะเราะฮ์ไปยังประเทศจอร์แดน เพื่อเยี่ยมเยียนเพื่อนบางคน ซึ่งข้าพเจ้าพบในระหว่างการบำเพ็ญฮัจญ์ และพักอยู่กับเขาเป็นเวลา 3 วัน และพบว่าเขาเกลียดชังชีอะฮฺมาก มากกว่าชาวตูนิเซียเสียอีก

มีเรื่องราวและช่าวลืออย่างเดียวกัน และเมื่อข้าพเจ้าถามถึงหลักฐานพวกเขาจะตอบทันทีว่า “ผมได้ยินมาแล้วเกี่ยวกับเรื่องนั้น” แต่ข้าพเจ้าไม่พบใครที่ติดต่อกับชีอะฮฺมาก่อน หรืออ่านหนังสือที่ชีอะฮฺเขียนขึ้นหรือพบกับชีอะฮฺในชีวิตของเขาเลย

จากประเทศจอร์แดน ข้าพเจ้าไปยังประเทศซีเรีย ในเมืองดามัสกัส ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมเยียนมัสยิดอุมัยยะฮ์ ตรงกันข้ามคือสถานที่ซึ่งศีรษะของท่านอิมามฮูเซนฝังอยู่ และข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมสุสานของซอลาฮุดดีน อัยยูบี และนายหญิงของเราคือท่านหญิงซัยนับ บินติอะลี อิบนิอบีฏอลิบ

จากเบรุตข้าพเจ้าขึ้นเรือแล่นตรงไปยังตริโปลี การเดินทางกินเวลา 4 วัน ซึ่งระหว่างระยะเวลานั้น ข้าพเจ้าได้พักผ่านท้ังร่างกายและจิตใจ ข้าพเจ้านึกย้อนหลังถึงการเดินทางทั้งหมดและสรุปได้ว่า ข้าพเจ้าได้พัฒนาตนเอง และมีความโน้มเอียงไปในทางเคารพนับถือชีอะฮฺ ในขณะเดียวกันก็เร่ิมไม่พอใจ และหันน่างจากวะฮาบีย์ที่ร้ายกาจ ข้าพเจ้าขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงประทานให้ข้าพเจ้าอย่างมากมาย สำหรับการระวังรักษาข้าพเจ้าให้พ้นจากภยันอันตรายต่างๆและได้ขอให้พระองค์ทรงนำเข้าสู่แนวทางอันเที่ยงธรรม

ข้าพเจ้ากลับมาถึงบ้านรีบไปพบครอบครัวและมิตรสหาย ทราบว่า ทุกคนสบายดี ข้าพเจ้าประหลาดใจที่เมื่อเข้าไปในบ้าน ก็พบหนังสือจำนวนมากรอข้าพเจ้าอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าทราบดีว่ามาจากไหน เมื่อข้าพเจ้าเปิดหนังสืออกดูแล้วปรากฏว่าเต็มบ้านไปหมด รู้สึกขอบคุณผู้คนเหล่านั้นที่ไม่ผิดสัญญา ความจริงแล้วหนังสือที่ส่งมาทางไปรษณีย์นั้นมากกว่าหนังสือที่พวกเขาให้ข้าพเจ้าในวันที่พบกันนั้นเสียอีก