ทรรศนะของนักสังคมวิทยาเกี่ยวกับอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)

นักวิชาการที่มีชื่อเสียงของโลกได้พูดว่า โลกมนุษย์ทุกวันนี้ มีการเข่นฆ่าแย่งชิง มีการนองเลือด มีการทำสงครามทั้งสงครามอาวุธ และสงครามเย็น และความชั่วร้ายของมนุษย์นับวันจะเพิ่มมากขึ้นเป็นเพราะว่าไม่เกิดความสมดุลกันระหว่างความต้องการของร่างกาย และจิตวิญญาณ

ทุกวันนี้มนุษย์ได้นำเอาคุณธรรม และจริยธรรมที่ดีงามของมนุษย์ไว้ใต้ฝ่าเท้าของตน ขณะที่พวกเขาได้ชื่นชมในความสามารถของตนในการพัฒนาด้านเทคโนโลยี และความรู้ พวกเขาสามารถนำเอาเรือนร่างไปสู่ดวงดาวต่างๆ ได้สำเร็จ แต่พวกเขาไม่สามารถนำจิตใจให้หลุดพ้นจากโคนตรมและความเป็นเดรัจฉาน

ไม่ต้องสงสัยว่าการที่มนุษย์อิงอาศัยโลก และความสามารถของตนเพียงอย่างเดียวจะสามารถสร้างความยุติธรรมให้แก่โลกได้ และการพึ่งความรู้กับเทคโนโลยีทางโลกก็ไม่อาจรับรองความผาสุกที่แท้จริงให้กับมนุษย์ได้เช่นกัน

ฉะนั้นมนุษย์ไม่มีทางเลือกอย่างอื่นนอกจากการสร้างความสมดุลบนพื้นฐานของความศรัทธา และจริยธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ด้วยกับการชี้นำของผู้ปรับปรุงแก้ไขโลก เพื่อให้มนุษย์รอดพ้นจากภัยวิบัติทางความคิดและการกระทำและการจัดตั้งรัฐบาลที่อยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม ความปลอดภัย ความสงบและความรักใคร่กลมเกลียวขึ้นปกครอง ด้วยสาเหตุนี้เองโลกมนุษย์จึ่งต้องรอคอยท่านอิมามมะฮฺดี (อ.) เพื่อจัดการสิ่งดังกล่าว

อายุที่ยืนยาวของอิมามมะอฺดี

การมีอายุยืนของมนุษย์เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ อัล-กุรอานได้กล่าวถึงอายุของท่านศาสดา นูห์ (อ.) ว่าเป็นบุคคลหนึ่งที่มีอายุยืนยาวเป็นพิเศษ ท่านศาสดาใช้เวลาในการเผยแพร่คำสอนของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ประมาณ ๙๕๐ ปีอัล-กุรอานกล่าวว่า

وَلَقَدْ أَرْسَلْنَا نُوحًا إِلَى قَوْمِهِ فَلَبِثَ فِيهِمْ أَلْفَ سَنَةٍ إِلَّا خَمْسِينَ عَامًا

“และแน่นอนเราได้ส่งนูห์ไปยังหมู่ชนของเขา และเขาได้อยู่ร่วมกับพวกเขานานถึงเก้าร้อยห้าสิบปี” (อังกะบูต / ๑๔)

ประกอบการค้นคว้าของนักวิชาการปัจจุบันเกี่ยวกับชีวะวิทยา ได้พบว่าการมีอายุยืนของมนุษย์เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ พวกเขายังได้คิดค้นอาหารและตัวยาบางประเภท ถ้ามนุษย์ได้รับประทานแล้วจะทำให้มีอายุยืนยาวนานขึ้น

ท่านมัรฺฮูม อายะตุลลอฮฺ ศ็อดฺร์ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ อัล-มะฮฺดีว่า นักวิชาการที่เชื่อถือได้ค้นพบว่า ร่างกายของสัตว์นั้นสามารถอยู่ได้ตลอด และสำหรับมนุษย์นั้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นพันปีแต่มีเงื่อนไขว่าเขาต้องไม่ทำในสิ่งที่เป็นสาเหตุทำให้อายุของเขาสั้นลง นักวิชาการเหล่านี้ไม่ได้พูดออกมาจากความเหลวไหล แต่พวกเขาได้ทำการทดลองทางวิชาการครั้งแล้วครั้งเล่าจนได้บทสรุปดังกล่าว

อาจารย์มหาวิทยาลัยพูดว่า อวัยะวะต่างบนร่างกายมนุษย์สามารถอยู่อย่างเป็นอมตะได้

อาจารย์เป็นคนแรกที่ทำการทดลองดังกล่าวกับชิ้นส่วนของสัตว์ หลังจากนั้น อารจารย์ ดร.ซึ่งมีภรรยาเป็นผู้ช่วยได้พิสูจน์ว่า ชิ้นของลูกนกสามารถมีชีวิตอยู่ในน้ำเกลือได้” การทดลองเหล่านี้ได้ทำกันอย่างต่อเนื่องต่อมา อาจารย์ ได้ทำการทดลองโดยใช้ประสบการณ์ของคนอื่น เขาได้เริ่มงานทดลองเมื่อเดือนมกราคม ปี ค.ศ. ๑๙๑๒ ด้วยกับความมุมานะและการเสียสละอย่างสูง เขาต้องประสบกับอุปสรรคปัญหามากมายในงานทดลองของเขาจนในที่สุด                                                                                                                                             

เขาได้ประสบความสำเร็จในทดลองของเขาคือ

๑. ถ้าหากไม่มีปัญหาบางอย่าง เช่น เรื่องอาหาร หรือการที่เชื้อโรคได้แทรกซึมเข้าตามเซลล์ต่างๆ จะทำให้สิ่งนั้นมีชีวิตตลอดไป

๒. อวัยวะส่วนนั้นนอกจากจะมีชีวิตตลอดไปแล้ว ยังสามารถเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้อีกต่างหาก

๓. การเติบโตและการขยายพันธุ์ของสิ่งเหล่านั้นขึ้นอยู่กับอาหารที่ไปถึงมัน ซึ่งสามารถกำหนดขนาดและจำนวนได้

๔. กาลเวลาจะไม่มีผลกระทบใดต่อสิ่งเหล่านั้น แม้ว่าเวลาได้ผ่านไปก็ตามจะไม่ทำให้มันแก่เฒ่าหรืออ่อนแอลงได้ แม้กระทั่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยก็ตาม และในทุกๆปีมันจะเติบโตเหมือนกับปีก่อนการขยายพันธุ์

ทำไมมนุษย์จึงต้องตาย และทำไมมนุษย์ถึงมีชีวิตอยู่ไม่ถึง ๑๐๐ ปี

เป็นเพราะว่าอวัยวะบนตัวสัตว์และมนุษย์นั้นมีความแตกต่างกันมาก ประกอบกับในหมู่ของสัตว์นั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น หมายถึงการมีชีวิตของสัตว์บางตัวหรือบางประเภทขึ้นอยู่กับสัตว์อีกบางประเภท และในบางครั้งการไร้ความสามารถ และความตายของอวัยวะบางส่วนของคนและสัตว์เป็นสาเหตุทำให้อวัยวะส่วนอื่นๆ ตายไปด้วย หรือความตายอย่างฉับพลันเนื่องจากการติดเชื้อกะทันหัน ด้วยสาเหตุนี้จะเห็นว่าอายุโดยเฉลี่ยของคนเราจะไม่เกิน ๗๐ หรือ ๘๐ ปี แต่ประสบการณ์ก็บอกให้รู้ว่าการมีอายุถึง ๗๐-๘๐ ปีไม่ใช่สาเหตุของความตายเสมอไป แต่สาเหตุหลักคือ การเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลายที่ได้ครอบงำอวัยวะบางส่วนบนร่างกาย ทำให้อวัยวะส่วนนั้นตายและไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป เมื่ออวัยวะส่วนนั้นตายความสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะด้วยกันก็จะหมดไปและจะเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะทุกส่วนตายตามกันไปด้วย

ฉะนั้น ถ้าความรู้สามารถขจัดอุปสรรคเหล่านั้น หรือสามารถขัดขวางไม่ให้มันเกิดผลได้ จะมีสิ่งใดเป็นตัวขัดขวางไม่ให้มนุษย์มีอายุยืนยาวอีก[1]

เมื่อทราบแล้วว่าการมีอายุยืนของมนุษย์สามารถเป็นไปได้ตามหลักวิชาการ ด้วยเหตุนี้พระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) พระผู้ทรงพลานุภาพจะทรงทำให้มนุษย์คนหนึ่งมีอายุยืนถึง ๑๐๐๐ ปี มีความสมบูรณ์ และมีการเติบโตจะเป็นไปไม่ได้กระนั้นหรือ ขณะที่การจัดระบบชีวิตและอายุไขของมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ทรงสามารถสร้างระบบหนึ่งซ้อนอีกระบบหนึ่งได้ ซึ่งความมหัศจรรย์ต่างๆ พระองค์ได้แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์อยู่แล้ว อย่างเช่นพระองค์ทรงทำให้ไฟนั้นเย็นลงสำหรับ ศาสดาอิบรอฮีม (อ.) เมื่อครั้งที่ท่านถูกจับโยนเข้าไปในไฟ   ท่านศาสดามูซา (อ.) ได้ทำให้ไม้เท้ากลายเป็นงู ท่านศาสดาอีซา (อ.) ได้ทำให้คนตายฟื้นคืนชีพ  ทั้งหมดเหล่านี้เป็นเหตุการณ์ที่ขัดแย้งกับธรรมชาติแต่อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงใช้อำนาจของพระองค์บังเกิดระบบหนึ่งซ้อนระบบที่มีอยู่ หรือที่เรียกว่า มุอฺญะซาตนั้นเอง มุสลิมทั้งหลายมีความเชื่อต่อสิ่งนี้ บรรดายะฮูดี และนัศรอนีก็มีความเชื่อในเรื่องนี้เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้การมีอายุยืนของท่านอิมามซะมาน (อ.) จึงไม่เป็นที่สงสัยใดๆทั้งสิ้น และถ้าพูดว่าสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้เท่ากับได้ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของอัล-กุรอานที่กล่าวถึงการมีอายุยืนของท่านศาสดานูห์ (อ.) และปฏิเสธผลงานด้านวิชาการของนักทดลองที่ได้กระทำไว้ แต่ถ้าพูดว่าเป็นไปได้ที่คนๆ หนึ่งจะมีอายุยืนยาวแต่ว่าขัดกับธรรมชาติ ...ตอบว่า การมีอายุยืนของท่านอิมามมะฮฺดี (อ.) นั้นขัดกับระบบธรรมชาติเหมือนกับเรื่องมุอฺญะซาต (ความมหัศจรรย์) ของบรรดาศาสดาต่างๆ ที่ได้กระทำโดยอนุญาตของพระองค์ ดังนั้นผู้ที่มีความเชื่อในพลานุภาพของพะองค์ในการบังเกิดมุอฺญะซาต เขาจะต้องไม่สงสัยเรื่องการมีอายุยืนของท่านอิมามมะฮฺดี (อ.)

การฆัยบัตของอิมาม (เร้นกาย)

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้แจ้งเรื่องการฆัยบัตของท่านอิมามมะฮฺดี (อ.) ให้ประชาชนทราบก่อนหน้านั้นแล้ว ตลอดจนบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ก็ได้เตือนสำทับพวกเขาเรื่อยมา ข่าวการฆัยบัตของท่านอิมามจึงไม่ใช่สิ่งใหม่เพราะได้ถูกกล่าวถึงตั้งแต่ท่านอิมามยังไม่ได้ประสูติ ฉะนั้นบุคคลใดที่ความเชื่อเรื่องอิมามมะฮฺดี เขาก็มีความเชื่อเรื่องการฆัยบัตที่ยาวนานของอิมามด้วยเช่นกัน ดังตัวอย่างบางริวายะฮฺที่ได้กล่าวถึงสิ่งนี้ไว้ว่า

๑. ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า “กออิมเป็นบุตรของฉัน ด้วยกับสัญญาจากฉันที่ไปถึงยังเขา เขาจะเร้นกายและประชาชนส่วนมากจะพูดว่าอัลลอฮฺ ไม่ทรงต้องการอาลิมุฮัมมัดอีกแล้ว บางกลุ่มชนมีความสงสัยเกี่ยวกับการกำเนิดของเขา แต่อย่างไรก็ตามบุคคลใดได้อยู่ร่วมสมัยกับเขา เขาต้องปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาอย่างจริงจัง อย่าสองจิตสองใจ อย่าเปิดช่องทางให้กับชัยฏอน และสำคัญที่สุดเขาอย่าออกจากประชาชาติและศาสนาของฉัน”[2]

๒. อิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า “กออิมของเราจะเร้นกายเป็นเวลานาน แต่จงรู้ไว้เถิดว่าบุคคลใดก็ตามได้ยึดมั่นอยู่บนศาสนาของเขา และแม้ว่ากออิมจะเร้นกายยาวนานสักเพียงใดแต่จิตใจของเขาก็ไม่แข็งกระด้าง (หรือเปลี่ยนใจออกจากศาสนาที่เที่ยงธรรม) ในวันกิยามะฮฺเขาจะถูกจัดให้อยู่ในระดับเดียวกันกับฉัน”[3]    

๓.   มุฮัมมัดมุสลิมพูดว่า ฉันได้ยินจากท่านอิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวว่า “ถ้าได้ยินข่าวการเร้นกายของอิมามของท่านอย่าได้ปฏิเสธ”[4]

๔. ฏ็อบรีซีย์ได้บันทึกไว้ว่า “ข่าวการฆัยบัตของอิมามมะฮฺดี (อ.) นักฮะดีซของชีอะฮฺได้บันทึกฮะดีซไว้ในหนังสือ อุศูล และหนังสืออื่นๆ ที่ได้เขียนในสมัยของท่านอิมามบากิรฺ และอิมามซอดิก (อ.) นักฮะดีซที่เชื่อได้อาทิเช่น ฮะซัน อิบนิมะห์บูบ ท่านได้เขียนหนังสือชื่อ มะชีเคาะฮฺ ประมาณ ๑๐๐ ปีก่อนที่อิมามมะฮฺดี จะฆัยบัต ซึ่งในหนังสือดังกล่าวได้บันทึกฮะดีซเกี่ยวกับการฆัยบัตของอิมามไว้โดยละเอียด  ณ ที่นี้จะขอหยิบยกบางฮะดีซเช่น

-อบูบะซีรฺพูดว่า ฉันได้ไปหาท่านอิมามซอดิก (อ.) และพูดว่า ท่านอบูญะฮฺฟัรฺกล่าวว่า “กออิมจะมีการฆัยบัตสองครั้ง ๆ หนึ่งสั้นส่วนอีกครั้งหนึ่งยาว ท่านอิมาม (อ.) ตอบว่า ใช่ถูกต้องแล้วอบูบะซีรฺเอ๋ย ฆัยบัตครั้งที่สองนั้นจะนานกว่าครั้งแรกมาก”[5]

ด้วยเหตุนี้จะเห็นว่าการฆัยบัตของอิมามมะฮฺดี (อ.) นั้น ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ได้แจ้งล่วงหน้าให้ประชาชนทราบไว้ก่อนแล้ว การเชื่อเรื่องฆัยบัตจึงอยู่เคียงข้างกับการเชื่อว่าท่านนั้นมีตัวตน

เชคศุดูก ได้เล่าจากซัยยิดหะมีรีว่า “ฉันตีความอย่างเลยเถิดเกี่ยวกับมุฮัมมัดหะนะฟี และฉันยังเชื่ออีกว่าเขาได้ฆัยบัตไป จนกระทั่งพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้เมตตาฉันและฉันได้รอดพ้นจากไฟนรกได้เพราะการช่วยเหลือของท่านอิมามซอดิก (อ.) ท่านได้ทำให้ฉันพบกับทางนำและแนวทางที่เที่ยงธรรม ท่านอิมามซอดิก (อ.) ได้พิสูจน์การเป็นอิมามของท่านด้วยกับหลักฐานและเหตุผล  และวันหนึ่งฉันได้ถามอิมามว่า โอ้บุตรของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)ได้มีริวายะฮฺจากบิดาของท่านเกี่ยวกับเรื่องการฆัยบัต โปรดอธิบายแก่เราว่าการฆัยบัตนั้นเกี่ยวข้องกับใคร  ท่านอิมาม (อ.) ตอบว่า การฆัยบัตนั้นเป็นเรื่องของบุตรคนที่หกจากเชื้อสายของฉัน และเขาเป็นอิมามคนที่ ๑๒ หลังจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ซึ่งคนแรกคือท่านอิมามอะลี บินอบีฏอลิบ (อ.) และคนที่ ๑๒ ก็่คือ กออิมผู้ยืนหยัดเพื่อสัจธรรม ผู้คงเหลืออยู่ของอัลลอฮฺบนหน้าแผ่นดิน และเป็นซอฮิบุซซะมาน[6]

ทำไมอิมามมะฮฺดีต้องฆัยบัต (เร้นกาย)

ได้อธิบายไปแล้วว่า อิมามหรือตัวแทนของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ อาทิเช่นแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง อธิบายกฎเกณฑ์ต่างๆ ของอัลลอฮฺ ให้การชี้นำทั้งด้านการกระทำและจิตใจ และอื่น ๆจึงเป็นความจำเป็นสำหรับอัลลอฮฺที่ต้องแต่งตั้งท่านอิมามอะลี และอิมามอีก ๑๑ ท่านภายหลังจากท่านศาสดา

แน่นอนหน้าที่ของท่านอิมามมะฮฺดี (อ.) ก็คือหน้าที่เดียวกันกับบรรดาอิมามก่อนหน้านี้ ดังนั้นถ้าไม่มีอุปสรรคปัญหาอันใดเป็นความจำเป็นสำหรับอิมามที่ต้องปรากฏตัวต่อสาธารณชน เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากท่าน แต่สิ่งที่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกเป็นสาเหตุทำให้ท่านต้องฆัยบัต

ปกติแล้วการเชื่อเรื่องรัฐบาลของอัลลอฮฺ ถือว่าไม่จำเป็น เพื่อจะได้เป็นปรัชญาของการฆัยบัตของอิมามมะฮฺดี (อ.) เนื่องจากว่าการนำเอาสาเหตุหลักการฆัยบัตของท่านอิมามออกไปไม่ถือว่าเสียหายอะไร เพราะมีเหตุการณ์ตั้งมากมายที่เกิดขึ้น โดยที่เราไม่ทราบสาเหตุและปรัชญาของมัน แค่เชื่อว่าพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงส่งหุจญัติ (เหตุผล) ของพระองค์ลงมาตามหลักฐานของริวายะฮฺ และอายะฮฺต่างๆที่ปรากฏชัดเจนแต่ด้วยสาเหตุจำเป็นบางประการพระองค์ได้ทำให้หุจญัติของพระองค์หายตัวไป

อย่างไรก็ตามมีริวายะฮฺบางส่วนได้กล่าวถึงสาเหตุที่แท้จริงของการฆัยบัตของท่านอิมามมะฮฺดี (อ.) ภายหลังจากที่ท่านได้ปรากฏตัวแล้วครั้งหนึ่ง

อับดุลลอฮฺ ฟัฎล์ ฮาชิม พูดว่า ฉันได้ยินจากท่านอิมามซอดิก (อ.) ว่า ไม่มีทางเลือกสำหรับอิมามมะฮฺดี ท่านต้องฆัยบัต อันเป็นสาเหตุทำให้พวกอธรรมทั้งหลายเกิดความฉงนสงสัย ฉันได้ถามว่า มีเหตุผลอันใดหรือที่อิมามมะฮฺดีต้องฆัยบัต  ตอบว่า พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยสิ่งนั้น

ฉันถามว่า มีปรัชญาอะไรแอบแฝงอยู่หรือ  ตอบว่า ก็เหมือนกับการฆัยบัตของบรรดาหุจญัติต่างๆ ก่อนหน้านี้ ไม่เป็นที่เปิดเผยนอกเสียจากว่าภายหลังจากท่านได้ปรากฏตัว เหมือนกับปรัชญาการกระทำของท่าน เคฎร์ (ที่ได้เจาะเรือ ฆ่าเด็ก และสร้างกำแพงขณะที่เดินทางร่วมกับท่านศาสดามูซา) ซึ่งเป็นที่กระจ่างเมื่อท่านเคฎร์ต้องการแยกทางกับท่านมูซา โอ้บุตรของ ฟัฎล์ เอ๋ยการฆัยบัตเป็นพระประสงค์ของพระองค์ เป็นหนึ่งในความลับทั้งหลายของพระองค์ และเนื่องจากเรายอมรับว่าพระองค์คือผู้ทรงปรีชาญาณ และทรงพลานุภาพ เราจึงยอมรับว่าภารกิจทั้งหลายพระองค์ทรงกระทำด้วยกับความรอบรู้และวิทยปัญญา  แม้ว่ารายละเอียดเหล่านั้นจะไม่เป็นที่เปิดเผยสำหรับเราก็ตาม[7]

ประโยชน์ของการฆัยบัต  

๑. เพื่อทดสอบประชาชาติ

หนึ่งในประโยชน์ของการฆัยบัตคือการทดสอบประชาชาติ ด้านหนึ่งบุคคลที่ไม่มีความศรัทธา จิตใจด้านในและการกระทำของเขาจะเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ส่วนผู้ที่มีความศรัทธาเชื่อมั่นอันเป็นรากเหง้าที่หยั่งลึกอยู่ในใจ ด้วยกับการรอคอยการปรากฏตัว ความอยากลำบากจะทำให้อีมานที่มีต่อการฆัยบัตนั้นมั่นคงแข็งแรง และทำให้รู้ถึงคุณค่าของพวกเขาอีก

ท่านอิมามมูซา บิน ญะอฺฟัรฺ (อ.) กล่าวว่า “เมื่อบุตรคนที่ห้าของฉันได้ฆัยบัต พวกเจ้าจงระมัดระวังศาสนาของเจ้าให้ดี อย่าให้คนอื่นพาเจ้าออกจากศาสนา อิมามของเจ้าจะฆัยบัต ซึ่งจะมีกลุ่มหนึ่งจากบรรดาผู้ที่เชื่อเขา ได้ออกนอกความเชื่อของตน การฆัยบัตเป็นการทดสอบที่อัลลอฮฺใช้ทดสอบปวงบ่าวของพระองค์[8]

๒. การปกป้องอิมามให้รอดพ้นจากการถูกสังหาร

จากการศึกษาประวัติศาสตร์จะพบว่าบรรดาอิมามแห่งอะฮฺลุบัยตฺนั้นมีสถานภาพแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบรรดาผู้ปกครองของอะมะวี และอับบาซี ถ้าอิมามมะฮฺดี (อ.) อยู่ท่ามกลางพวกเขาเหมือนคนทั่วไปแน่นอนท่านจะถูกฆ่าเยี่ยงบรรดาบรรพชนของท่าน หรือไม่ก็ถูกลอบวางยาพิษ เนื่องจากว่าพวกเขาได้ยินว่าครอบครัวของท่านศาสดา โดยเฉพาะบุตรที่เกิดจากอะลีกับฟาฎิมะฮฺ (อ.) พวกเขาจะได้เป็นอิมามผู้นำและเป็นผู้ทำลายล้างผู้ปกครองที่กดขี่ ในเวลานั้นยังคงเหลืออิมามฮะซันอัสการีย์ (อ.) และบุตรของท่าน ด้วยเหตุนี้พวกอับบาซี จึงได้เตรียมพร้อมที่จะสังหารท่านอิมามมะฮฺดี (อ.) แต่ด้วยกับพระประสงค์ของพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) พระองค์ทรงปกป้องรักษาอิมาม (อ.) จากน้ำมือของเหล่าศัตรู และทรงทำให้พวกเขาสิ้นหวัง

ท่านซุรอเราะฮฺ ได้เล่าจากท่านอิมามซอดิก (อ.) ว่า “สำหรับกออิมนั้นมีการฆัยบัตรอคอยอยู่ข้างหน้า ฉันได้ถามอิมามว่า ทำไม ? ตอบว่า เพื่อปกป้องให้ท่านรอดพ้นจากการถูกสังหารและดำรงอยู่ในความปลอดภัย ซึ่งการฆัยบัตนี้จะยาวนานจนกว่าการปรากฏตัวและการปกครองของท่านจะมีเหนือการปกครองที่กดขี่ทั้งหลาย”[9]

๓. ไม่มีใครบัยอัตกับท่าน

ประโยชน์ที่สามสามารถพิจารณาได้จากริวายะฮฺกล่าวคือ ท่านอิมามปฎิเสธการบัยอัตกับผู้ปกครองที่กดขี่และ พวกที่ปล้นอำนาจการปกครองของอิมาม เมื่อถึงเวลาปรากฏกายจะไม่มีใครติดการบัยอัตกับอิมาม ดังนั้นท่านจะสามารถอธิบายสัจธรรมได้อย่างไร้อุปสรรค

ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า “เมื่อกออิมได้ปรากฏกายไม่มีใครมีบัยอัตกับท่าน”[10]

ประโยชน์ของการมีอิมามฆัยบัต

ได้กล่าวมาแล้วว่าอิมามมะฮฺดี (อ.) ได้รับการแต่งตั้งจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) เพื่อทำการชี้นำประชาชาติ แต่ประชาชนนั้นเองที่เป็นอุปสรรคต่อการปรากฏกายของท่านอิมาม ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ประชาชนพร้อมที่จะรับการปกครองของพระผู้เป็นเจ้า (ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมที่แท้จริง พิทักษ์สิทธิของผู้อื่น และดำเนินการปกครองไปตามกฎเกณฑ์ของอิสลาม) เมื่อนั้นท่านอิมาม (อ.) จะปรากฏกายทันที ในอีกมุมหนึ่งไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทรงบั่นทอนความเมตตาของพระองค์ที่มีต่อประชาชาติให้ลดน้อยลง แต่เป็นความผิดของประชาชนที่เป็นเหตุทำให้อิมามต้องฆัยบัตและล่าช้าในการปรากฏกาย อย่างไรก็ตามแม้ว่าอิมามจะไม่ได้ให้ประโยชน์โดยตรงแก่ประชาชนเนื่องจากอยู่ในช่วงของการฆัยบัต แต่ถ้าพิจารณาทางด้านตักวีนี และตัชรีอีแล้วจะเห็นว่าการมีอยู่ของอิมามได้ให้ประโยชน์อย่างอื่น

ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการมีอิมามคือ เป็นสื่อแห่งความโปรดปราน ด้วยกับเหตุผลที่นักวิชาการได้นำมาเสนอ และฮะดีซจำนวนมากมายที่ได้กล่าวถึงอิมามมะฮฺเอาไว้ว่า ถ้าไม่มีอิมามความสัมพันธ์ระหว่างโลกกับพระผู้เป็นเจ้าจะขาดลงทันที เนื่องจากว่าความโปรดปรานทั้งหลายของพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) ที่ทรงประทานแก่ชาวโลก ตลอดจนสรรพสัตว์และสิ่งอื่นๆ ด้วยกับสื่อของท่านอิมาม (อ.) ดังฮะดีซที่กล่าวว่า

لَوْ بَقِيَتِ الاَرْضَ بِغَيْرِ اِمَامٍ لَسَاخَتْ

“ถ้าแผ่นดินดำรงอยู่โดยปราศจากอิมามจะพบกับความวิบัติ”[11]

อิมาม คือหัวใจของโลกและสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นผู้ชี้นำและผู้ให้การอบรมสั่งสอนแก่ประชาโลก ดังนั้นไม่ว่าท่านจะปรากฎกายหรือไม่ก็ตามไม่มีความแตกต่าง การชี้นำจิตวิญญาณแก่ปวงบ่าวที่ดีงามยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง อิมามยังให้การดูแลรักษาศาสนาของอัลลอฮฺ และปกป้องบ่าวที่ดีของพระองค์ตลอดเวลา ซึ่งตามความเป็นจริงการฆัยบัตของอิมาม (อ.) เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่ทอแสงอยู่หลังก้อนเมฆ ซึ่งมนุษย์ยังคงได้รับประโยชน์จากแสงสว่างและความร้อน แม้ว่าคนโง่และคนตาบอดจะมองไม่เห็นแสงนั้นก็ตาม

ท่านอิมามซอดิก (อ.)  ได้ตอบคำถามที่ว่า มนุษย์ได้รับประโยชน์จากการฆัยบัตของอิมามได้อย่างไร

ตอบว่า “เช่นเดียวกันกับการใช้ประโยชน์จากดวงอาทิตย์ที่อยู่หลังก้อนเมฆ”[12]

นักบูรพาคดีคนหนึ่งได้พูดว่า “ในความเชื่อของฉัน ฉันเชื่อว่าเฉพาะนิกายชีอะฮฺเท่านั้นที่รักษาความสัมพันธ์แห่งการชี้นำของพระผู้เป็นเจ้ากับปวงบ่าวไว้อย่างดีและต่อเนื่อง สามารถทำให้วิลายะฮฺมีชีวิตตลอดเวลาและเก็บรักษาไว้อย่างถูกที่ ยะฮูดีนั้นถือว่าศาสดาคือสื่อระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับโลกและมนุษย์ และจบลงที่ท่านศาสดา มูซา โดยไม่ได้สืบทอดไปยังท่านศาสดาอีซา และท่านศาสดามุฮัมมัด พวกนะซอรอได้ยุติความเชื่อของตนไว้ที่ท่านศาสดาอีซา  ส่วนอหฺลิซซุนนะฮฺได้หยุดความเชื่อแค่ท่านศาสดามุฮัมมัด ซึ่งหลังจากนั้นไม่มีสื่อในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพระผู้สร้างกับสิ่งถูกสร้างอีกต่อไป”

เฉพาะนิกายชีอะฮฺเท่านั้นที่เชื่อว่า นุบูวัตจบลงแค่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) แต่วิลายะฮฺ .ซึ่งอยู่ในฐานะสื่อแห่งการชี้นำหลังจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ยังคงดำเนินต่อไปอย่างมีชีวิต

แน่นอนเฉพาะนิกายชีอะฮฺเท่านั้นที่รักษาความจริงดังกล่าวระหว่างโลก กับมนุษย์และพระผู้เป็นเจ้าไว้อย่างดีเยี่ยม

คำเตือนที่จำเป็น

ความศรัทธาที่มีต่ออิมามมะฮฺดี (อ.) หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชาติกับสิ่งที่เร้นลับ และผู้ใดมีความเชื่อเช่นนี้เขาต้องรำลึกถึงท่านอิมามตลอดเวลา และรอคอยการปรากฏกายของท่านในฐานะของผู้ปรับปรุงแก้ไข

แน่นอนความหมายของการรอคอยอิมามซะมาน (อ.) หมายถึงการที่มุสลิมทั้งชีอะฮฺ และซุนนะฮฺมีความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด มีหน้าที่ช่วยกันเผยแพร่ความรู้และอหฺกามของอิสลามในทุกๆ เงื่อนไข ต้องป้องกันและต่อสู้กับความผิดบาป การกดขี่เอารัดเอาเปรียบ และอบายมุขทั้งหลาย หรืออีกนัยหนึ่งคือต้องช่วยกันจัดการเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับการจัดตั้งรัฐอิสลามสากลที่ดำรงอยู่บนความยุติธรรม หมายถึงให้การอบรมแก่ประชาโลกจนทั้งหมดเป็นผู้เรียกหาความยุติธรรม และเป็นปรปักษ์กับความอยุติธรรมในทุกรูปแบบ เป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนที่ต้องเสียสละบนหนทางของความศรัทธา และอิสลามและต้องเตรียมพร้อมตนเองเพื่อการรอคอยอิมามมะฮฺดี (อ.) หมายถึงจัดการกับวิถีชีวิตของตนเองไม่ให้ขัดแย้งกับแนวทางของอิมาม (อ.) เมื่อเวลาที่ท่านปรากฏกาย และเป็นผู้หนึ่งที่เชื่อฟังปฏิบัติตามอิมาม ให้การช่วยเหลือสนับสนุนการเผยแพร่และต่อสู้กับผู้ที่เป็นศัตรูกับอิมาม (อ.)


 

[1] อัล-มะฮฺดี หน้าที่ ๑๓๒-๑๓๖

[2] อิษบาตุลฮุดาต เล่มที่ ๖ หน้าที่ ๓๘๖

[3] อิษบาตุลฮุดาต เล่มที่ ๖ หน้าที่ ๓๙๔-๓๙๕

[4] อิษบาตุลฮุดาต เล่มที่ ๖ หน้าที่ ๓๕๐

[5] อิอ์ลามุล วะรอ หน้าที่ ๔๑๖

[6] กะมาลุดดีน เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๑๒

[7] อิษบาตุลฮุดาต เล่มที่ ๖ หน้าที่ ๔๓๘

[8] บิฮารุลอันวารฺ เล่มที่ ๕๒ หน้าที่ ๑๑๓

[9] มุนตะค่อบุลอะษัรฺ หน้าที่ ๒๖๙

[10] อิษบาตุลฮุดาต เล่มที่ ๖ หน้าที่ ๔๓๖

[11] อุศูลกาฟีย์ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๗๘

[12] มุนตะค่อบุลอะษัรฺ หน้าที่ ๒๗๐-๒๗๒