เตาฮีด ความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้าหมายถึงอะไร

คำว่าเตาฮีด ในความหมายตามพจนานุกรมหมายถึง ความเป็นหนึ่งเดียวหรือความเป็นเอกะ ส่วนความหมายในเชิงปรัชญา ศาสนศาสตร์ จริยศาสตร์และรหัสยะ ใช้ในความหมายที่แตกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดเห็นพร้องต้องกันว่าหมายถึงความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้าในคุณลักษณะอันเฉพาะเจาะจง และบางครั้งถูกกล่าวในฐานะที่เป็นประเภทของเตาฮีด หรือเป็นระดับชั้นของเตาฮีด แต่ถ้าต้องการพิจารณาความหมายที่เหมาะสมของทั้งหมดจะไม่เข้ากันกับหนังสือที่มีเนื้อหาจำกัดในเล่มนี้ คำนิยามที่มีความเหมาะสมเท่านั้น

1. การปฏิเสธลัทธิพหุเทวนิยม (Polytheism)

นิยามที่หนึ่งของเตาฮีด คือ ความเชื่อในความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า และปฏิเสธความหลากหลายพหุเทวนิยมภายนอกอาตมันเมื่อเทียบกับการตั้งภาคีเทียบเคียง หรือมีความเชื่อในความเป็นสองของพระเจ้าหรือมากกว่าสอง และในแต่ละประเภทมีความอิสระที่แยกออกจากกันต่างหากโดยสิ้นเชิง

2. การปฏิเสธลัทธิภาวะสังเคราะห์ (Synthesis)

นิยามที่สองของเตาฮีด หมายถึงความเชื่อในความเป็นหนึ่งเดียวและความเป็นเอกภาพภายใน  ซึ่งอาตมันของพระองค์มิใช่ภาวะสังเคราะห์จากส่วนหรือองค์ประกอบต่างๆ ทั้งในแง่ของกฤตภาพหมายถึง ภาวะจริงหรือภาวะที่ปรากฏเป็นจริงขึ้นมาจากศักยภาพ (บิลฟิอฺลิ) และในแง่ของอกัมมันต์ หมายถึงเป็นฝ่ายรับการกระทำ ไม่ใช่ฝ่ายเริ่มการกระทำ (บิลกูวะฮฺ)

ซึ่งความหมายนี้ส่วนใหญ่จะมาในรูปของคุณลักษณะปฏิเสธที่ไม่มีอยู่จริงในพระองค์ (การปฏิเสธลัทธิภาวะสังเคราะห์) ดังที่กล่าวไปแล้วในบทที่ 10 เนื่องจากสติปัญญาของเรามีความเข้าใจในภาวะสังเคราะห์และการปฏิเสธภาวะสังเคราะห์ดีกว่า

3. การปฏิเสธคุณลักษณะทีเพิ่มบนอาตมัน

นิยามที่สามของเตาฮีด คือ ความเชื่อในความเป็นหนึ่งเดียวกันของคุณลักษณะทั้งหมดของพระองค์ กับอาตมันของพระองค์พร้อมกับปฏิเสธคุณลักษณะที่เพิ่มมาบนอาตมันของพระองค์ ซึ่งเรียกว่า เตาฮีดฟิซัตตียฺ  ส่วนในรายงานของท่านศาสดาเรียกว่า นัฟฟียฺซิฟัต (หมายถึงเป็นการปฏิเสธคุณลักษณะ) ดังเช่น อะชาอิเราะฮฺ ถือว่าคุณลักษณะของพระเจ้าเป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาบนอาตมันของพระองค์ และเชื่อในความดั้งเดิมของความเป็นแปด

เหตุผลที่ยืนยันให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพของคุณลักษณะคือ ถ้าหากว่าคุณลักษณะแต่ละประการของพระเจ้าเป็นสิ่งที่แยกต่างหากแล้วละก็ในภาวะเช่นนั้นอาจเป็นไปได้ดังนี้คือ องค์ประกอบของมันอยู่ภายในอาตมันของพระเจ้า ซึ่งสิ่งจำเป็นที่จะต้องตามมาคืออาตมันของพระเจ้าจะกลายเป็นภาวะสังเคราะห์ทันทีจากส่วนต่างๆ ทันที ซึ่งก่อนหน้านี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้

 หรือองค์ประกอบของมันอาจอยู่ภายนอกอาตมันของพระเจ้า กรณีนี้อาจเป็นวาญิบุลวุญูด (จำเป็นต้องมี) ซึ่งไม่ต้องอาศัยการสร้างโดยสิ่งอื่น หรืออาจเป็นมุมกินวุญูด (อาจมีหรือไม่มีก็ได้) ซึ่งเป็นสิ่งถูกสร้างของพระเจ้า แต่ในกรณีที่สมมุติว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นวาญิบุลวุญูด หมายถึงอาตมันเป็นพหุเทวและเป็นสิ่งเทียบเคียงพระเจ้า กรณีนี้ไม่มีมุสลิมคนใดบนโลกนี้ยอมรับได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าสมมุติว่าคุณลักษณะเป็นมุมกินุลวุญูด สิ่งจำเป็นที่ต้องเป็นไปคืออาตมันของพระเจ้าที่ตั้งสมมุตฐานว่าปราศจากคุณลักษณะเหล่านี้ต้องสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา หลังจากนั้นต้องปาวนาตนให้เข้ากับคุณลักษณะ เช่น สมมุติว่าอาตมันของพระเจ้าปราศจากชีวิตอันดับแรกต้องสร้างชีวิตขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยปาวนาอาตมันนให้เข้ากับชีวิต ทำนองเดียวกันในเรื่องของความรู้ อำนาจ และอื่นๆ ในกรณีเช่นนี้ไม่อาจเป็นไปได้กล่าวคือ อาตมันพระผู้ทรงสร้างจะปราศจากคุณลักษณะสัมบูรณ์และกลายเป็นสิ่งถูกสร้างของสิ่งนั้น สิ่งที่ยากยิ่งกว่านั้นคือ มวลสิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์ล้วนมีชีวิต มีความรู้ มีอำนาจและปาวนาตนเข้ากับคุณลักษณะสัมบูรณ์เหล่านั้น

เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าสมมุติฐานดังกล่าวเป็นโมฆะ และสิ่งที่ชัดเจนขึ้นคือคุณลักษณะของพระเจ้าจะไม่แยกออกจากกันและไม่แยกออกจากอาตมันของพระองค์ ทว่าทั้งหมดเหล่านั้นเป็นความเข้าใจที่สติปัญญาได้รับมาจากความหมายที่เป็นหนึ่งเดียวนั่นก็คือ อาตมันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้านั่นเอง

4. เอกเทศในการกระทำ (เตาฮีดอัฟอาล)

นิยามที่สี่ของเตาฮีด ซึ่งทั้งฝ่ายปรัชญาและศาสนศาสตร์ต่างเรียกเหมือนกันคือ เตาฮีดอัฟอาล หมายถึงในการปฏิบัติภารกิจของพระเจ้าพระองค์มิทรงพึ่งพาผู้ใดหรือสิ่งใดทั้งสิ้น ในทางกลับกันไม่มีสรรพสิ่งใดที่มีอยู่สามารถช่วยเหลือภารกิจของพระองค์ได้

ประเด็นดังกล่าวนี้ถ้าหากพิจารณาเป็นพิเศษถึงการเป็นพระผู้สร้างของพระเจ้า จะเห็นว่าพระองค์ทรงยั่งยืนเมื่อเทียบกับสิ่งถูกสร้างของพระองค์ เนื่องจากมูลเหตุของสาเหตุเช่นนี้จะยืนหยัดด้วยสาเหตุสมบูรณ์ของตน ในนิยามของปรัชญากล่าวว่า สิ่งที่ให้ความสัมพันธ์ขณะที่ตนต้องย้อนกลับไปยังสิ่งอื่น ตัวของมันจะไม่มีวันเป็นอิสระอย่างเด็ดขาด

อีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า ทุกสรรพสิ่งที่มีล้วนมาจากพระองค์ อยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์ ซึ่งกรรมสิทธิ์และผู้ทรงสิทธิที่แท้จริงคือพระองค์เท่านั้น อำนาจและกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่นอยู่ในแนวตั้งแห่งอำนาจของพระองค์และเป็นหนึ่งในสาขาของอำนาจของพระองค์ มิใช่ว่าเป็นอำนาจที่มาขัดแย้งกับอำนาจของพระองค์ ดังเช่นกรรมสิทธิ์สมมุติของบ่าวที่มีต่อทรัพย์สินที่สรรหามาได้ซึ่งอยู่ในแนวตั้งแห่งกรรมสิทธิ์ของพระองค์ (กรรมสิทธิ์ที่อยู่ในมือของบ่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า) ดังนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าผู้ทรงเกรียงไกรจะพึ่งพิงอำนาจของสิ่งอื่นทั้งที่กรรมสิทธิ์ของสิ่งเหล่านั้นล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น