สัญลักษณ์ของพระเจ้าในการพัฒนาการทารก

นับเป็นช่วงเวลาที่เนิ่นนานมาแล้วที่ปัญหาทารกในครรภ์ของมารดายังคงเป็นสิ่งเคลือบแคลงในหมู่นักวิชาการ จนกระทั่งว่าแหล่งวิชาการได้พัฒนาการไปและความเร้นลับแห่งการสร้างสรรค์ได้ถูกเปิดเผยขึ้นว่า น้ำอสุจิหยดหนึ่งหลังจากได้ถูกหลั่งในช่องคลอดของสตรี เมื่อถูกปฏิสนธิเข้ากับไข่ของเพศหญิงที่สุกงอมแล้ว จึงเกิดมีการพัฒนาการไปตามขั้นตอนซึ่งในการพัฒนาการไปตามขั้นตอนนี้เองต้องใช้เวลา และต้องผ่านขั้นตอนมากมายอันเป็นสาเหตุที่สร้างความฉงนงงงวยแก่ผู้คน และนักวิชาการทั้งหลาย การพัฒนาการของทารกไปยุติลงตรงที่ทารกได้วิวัฒนาการเป็นมนุษย์สมบูรณ์คนหนึ่ง สิ่งที่น่าประหลาดใจมากไปกว่านั้นคืออัล-กุรอานหลายโองการได้กล่าวถึงสิ่งนี้ไว้ ซึ่งเป็นการกล่าวในยุคที่ไม่มีการพัฒนาด้านวิชาการ ไม่มีแพทย์ และไม่มีการค้นคว้าใดๆ ในประเด็นด้งกล่าว อัล-กุรอานกล่าวถึงการพัฒนาการของทารกในครรภ์ ซึ่งในบางครั้งการกล่าวของอัล-กุรอานก็เพื่อพิสูจน์ให้เห็นการมีอยู่จริงของพระเจ้า และบางครั้งก็พิสูจน์ให้เห็นถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพภายหลังจากที่มนุษย์ได้ตายจากโลกไปแล้ว

ถึงแม้ว่าวิชาการทางการแพทย์เกี่ยวกับการเติบโตของทารกในครรภ์ของมารดาจะพัฒนาการไปไกลแล้วก็ตาม แต่กระนั้นข่าวสารข้อมูลของเราเมื่อเทียบกับสิ่งเร้นลับอีกมากมายของโลก ถือว่าเป็นสิ่งเล็กน้อยที่หาค่าใดๆ ไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามเท่าที่มนุษย์ได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่าง สายตาของพวกเขาถึงกับตะลึงงันกับความมหัศจรรย์ที่ถูกซ่อนเอาไว้ ในที่นี้จะขออ้างอิงถึงสิ่งมหัศจรรย์ในการสร้างมนุษย์ตามที่อัล-กุรอาน กล่าวถึง เช่น กล่าวว่า

 ขอสาบานว่า แน่นอนเรา (พระเจ้า) ได้สร้างมนุษย์มาจากธาตุแท้ของดิน แล้วเราทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิอยู่ในที่พักอันมั่นคง (คือมดลูก) แล้วเราได้ทำให้เชื้ออสุจิกลายเป็นก้อนเลือด แล้วเราได้ทำให้ก้อนเลือดกลายเป็นก้อนเนื้อ แล้วเราได้ทำให้ก้อนเนื้อกลายเป็นกระดูก แล้วเราหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้สร้างเขาเป็นรูปร่างใหม่ ดังนั้น อัลลอฮ์ทรงจำเริญยิ่ง ผู้ทรงเลิศแห่งปวงผู้สร้าง (อัล-กุรอาน บทมุอฺมินูน โองการที่ 12- 14)

เขา (มนุษย์) มิได้เป็นน้ำกามหยดหนึ่งจากน้ำอสุจิที่ถูกหลั่งออกมาดอกหรือ แล้วเขาได้กลายเป็นก้อนเลือดก้อนหนึ่ง หลังจากพระองค์ทรงบังเกิดแล้วก็ทรงทำให้ได้สัดส่วนสมบูรณ์ แล้วพระองค์ทรงทำให้เขาเป็นคู่ เป็นเพศชายและเพศหญิง (อัล-กุรอาน บทกิยามะฮฺ โองการที่ 37 -39)

อัล-กุรอาน กล่าวเตือนสำทับมนุษย์ว่า มนุษย์มิได้พิจารณาดูดอกหรือว่าเราได้บังเกิดเขามาจากน้ำอสุจิ แล้วจงดูซิ เขาได้กลายเป็นคู่ปรปักษ์ตัวฉกาจได้อย่างไร (อัล-กุรอาน บทยาซีน โองการที่ 77)

เพื่อน (ผู้ศรัทธา) ของเขากล่าวแก่เขาขณะที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ว่า ท่านเนรคุณต่อพระผู้สร้างท่านจากดินและจากเชื้ออสุจิ แล้วพระองค์ทรงทำให้ท่านเป็นคนโดยสมบูรณ์ กระนั้นหรือ (อัล-กุรอาน บทอัลกะฮฺฟิ โองการที่ 37)

พระองค์คือผู้ทรงสร้างพวกเจ้าจากฝุ่นดิน แล้วจากเชื้ออสุจิ แล้วจากก้อนเลือดแล้วทรงให้พวกเจ้าคลอดออกมาเป็นทารก เพื่อพวกเจ้าจะได้บรรลุสู่วัยฉกรรจ์ของพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นคนชรา ในหมู่พวกเจ้ามีผู้เสียชีวิตในวัยหนุ่ม และเพื่อให้พวกเจ้าจะได้บรรลุสู่วัยที่ถูกกำหนดไว้ และเพื่อพวกเจ้าจะได้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญ (อัล-กุรอาน บทฆอฟิร โองการที่ 67)

โลกแห่งความเร้นลับของทารก

เมื่อพิจารณาโองการอัล-กุรอาน พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เราก็จะพบว่าหลายต่อหลายครั้งที่อัล-กุรอาน กล่าวเน้นย้ำถึงเรื่องขั้นตอนการพัฒนาการของทารกในครรภ์ของมารดา อีกทั้งได้เชิญชวนมนุษย์ทุกคนให้ศึกษาค้นคว้าปัญหาดังกล่าวอย่างรอบคอบ เนื่องจากวิถีทางดังกล่าวเป็นหนึ่งในแนวทางที่จะนำพามนุษย์ไปสู่การรู้จักพระเจ้าผู้ทรงรังสรรค์ได้อย่างดี

ประโยคสุดท้ายของโองการแรกกล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงจำเริญยิ่ง ผู้ทรงเลิศแห่งปวงผู้สร้าง เป็นการกล่าวยืนยันในเห็นถึงการเรียนรู้จักพระเจ้าว่าเป็นสิ่งจำเป็นเหนือสิ่งอื่นใด เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นปฐมบทของทุกสรรพสิ่ง โองการกล่าวถึงการบังเกิดมนุษย์ในเบื้องต้นว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากธาตุแท้ของดิน หลังจากนั้นได้เป็นเปลี่ยนเป็นอสุจิ โดยให้มดลูกของสตรีเป็นสถานที่พำนักอันมั่นคงสำหรับสิ่งนั้น หลังจากกล่าวถึงสองขั้นตอนดังกล่าวแล้ว อัล-กุรอานยังได้กล่าวถึงขั้นตอนอื่นอีก 5 ประการ ซึงรวมขั้นตอนทั้งหมดในการสร้างมนุษย์มีทั้งสิ้น 7 ขั้นตอนด้วยกัน และขั้นตอน 5 ประการหลังมีรายละเอียดดังนี้

ขั้นตอนที่หนึ่ง อัล-กุรอานกล่าวถึง ก้อนเลือด หลังจากการปฏิสนธิแล้วอสุจิได้เปลี่ยนเป็นเลือด ซึ่งเลือดกลุ่มดังกล่าวจะมีความหนาแน่นมากกว่าเลือดกลุ่มอื่น เป็นระยะของการเจริญเติบโตตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิไปจนถึงสิ้นสัปดาห์ที่ 2 ซึ่งระยะนี้ยังไม่มีลักษณะเป็นรูปคนให้เห็นเลย เพราะยังมีขนาดเล็กมากมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 0.1 เซนติเมตรเท่านั้น

ขั้นตอนที่สอง อัล-กุรอานกล่าวถึง ก้อนเนื้อ ซึ่งเป็นการพัฒนาการมาจากก้อนเลือด ตามหลักวิชาการกล่าวว่า เมื่อมีจำนวนเซลล์เพิ่มขึ้นจะโตเป็นก้อนดูคล้ายผลน้อยหน่า ระยะนี้เรียกว่า ระยะมอรูลาร์ (morular) แล้วผ่านเข้าสู่ระยะบลาสโตซิสต์ (blastocyst) ซึ่งเป็นระยะที่ไข่ผ่านเข้าสู่โพรงมดลูกและฝังตัว ตำแหน่งที่ไข่ฝังตัวนี้จะกลายเป็นรกในเวลาต่อมา เพื่อเป็นสื่อนำอาหารจากมารดามาเลี้ยงทารก ในขณะเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์

ขั้นตอนที่สาม อัล-กุรอานกล่าวถึง โครงกระดูก กล่าวคือในช่วงนี้เซลล์ต่างๆ ที่เป็นก้อนเนื้อได้พัฒนาเป็นโครงกระดูก เป็นระยะของการเจริญเติบโตตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ไปจนถึงสิ้นเดือนที่ 2 ระยะนี้กลุ่มเซลล์จะแบ่งตัวและแยกเซลล์ออกเป็นโครงกระดูก

ขั้นตอนที่สี่ อัล-กุรอานกล่าวถึง เนื้อหนังที่ห่อหุ้มโครงกระดูกโดยกล่าวว่า แล้วเราหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ ซึ่งระยะนี้กลุ่มเซลล์จะแบ่งตัวและแยกเซลล์ออกเป็นชั้น ๆ ทำให้เกิดส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ชั้น กล่าวคือ

1. ชั้นนอกสุด ส่วนต่างๆ ในชั้นนี้จะเจริญมาเป็นหนังกำพร้า ผม เล็บ บางส่วนของฟัน ต่อมของผิวหนังและเซลล์ของระบบประสาท

2. ชั้นกลาง ส่วนต่าง ๆ ในชั้นนี้จะเจริญมาเป็นหนังแท้ กล้ามเนื้ออวัยวะของระบบไหลเวียนโลหิต ระบบโครงกระดูก ระบบขับถ่าย และระบบสืบพันธุ์

3. ชั้นในสุด ในชั้นนี้จะเจริญมาเป็นส่วนภายในของอวัยวะ ระบบทางเดินอาหารทั้งหมด หลอดลมใหญ่และเล็ก ปอด ตับ ตับอ่อน ช่องระหว่างหูกับจมูก ต่อมน้ำลาย ต่อมไทรอยด์ และต่อมไทมัส

ในปลายเดือนที่ 2 นี้ จะมีรูปร่างจนมองดูเหมือนมนุษย์อย่างชัดเจน จะมีการเจริญเติบโตของศีรษะมากที่สุด มีลูกตา หนังตา หู ปาก มีคางเล็กน้อย มีจมูก หน้าผากโหนก แขนและขาเล็ก ลำตัวไม่ยาว พุงพลุ้ย มีน้ำหนักประมาณ 2 กรัม ความยาวประมาณ 1 นิ้วครึ่งถึง 2 นิ้ว เมื่อพ้นวัยนี้ผ่านไปแล้ว

ย่างเข้าเดือนที่ 3 ทารกจะมีรูปร่างคล้ายมนุษย์มากขึ้น กระดูกเริ่มแข็งแรง อวัยวะเพศจะมองเห็นชัดเจนขึ้น เริ่มมีสมอง หัวใจ และลำไส้ 

พอย่างเข้าเดือนที่ 4 อวัยวะเพศเจริญเติบโตขึ้นจนบอกเพศได้ชัด ลำไส้จะมีขี้เทา กล้าเนื้อต่าง ๆ กำลังเจริญเติบโต ผิวหนังแดงใส เส้นโลหิตใต้ผิวหนังมองเห็นได้ชัด ขนอ่อนจะมีขึ้นอยู่ทั่วไปแม่จะรู้สึกว่าเด็กดิ้น จะมีสมอง ตับ กระเพาะปัสสาวะ ปอด กระเพาะอาหาร และทวารหนัก

ย่างเข้าเดือนที่ 5 ผิวหนังจะมีสีแดงขุ่น ๆ มีไขมันเกาะใต้ผิวหนัง มีผมและขนอ่อนเกิดขึ้น ตาปิดสนิท นิ้วมือนิ้วเท้าแยกเห็นได้ชัด หัวใจจะเริ่มเต้นจนฟังได้ชัด

ย่างเข้าเดือนที่ 6 รูปร่างได้สัดส่วน ผิวหนังย่นบางใส มีไขมันเกาะใต้ผิวหนังมากขึ้น ขนตาและขนคิ้วเริ่มเกิดขึ้นแล้ว
 

ขั้นตอนที่ห้า ถ้อยคำของอัล-กุรอานจะเปลี่ยนไปทันที่ โดยกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของทารกโดยกล่าวว่า แล้วเราได้สร้างเขาเป็นรูปร่างใหม่

และเมื่อขั้นตอนทั้ง 7 ได้ผ่านพ้นไปอย่างดีอัล-กุรอาน กล่าวว่า ดังนั้น อัลลอฮ์ทรงจำเริญยิ่ง ผู้ทรงเลิศแห่งปวงผู้สร้าง  เป็นประโยคที่สนับสนุนและอธิบายให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ในการสร้าง เป็นประโยคที่อัล-กุรอานมิได้ใช้ในที่ใดเลย และไม่เคยใช้กับสรรพสิ่งถูกสร้างอื่นใด เป็นการอธิบายสิ่งถูกสร้างดังกล่าว อธิบายให้เห็นถึงพลังอำนาจในการสร้าง และอธิบายให้เห็นถึงการสร้างสรรค์ของพระผู้สร้างผู้ทรงยิ่งใหญ่

ส่วนประโยคที่กล่าวว่า แล้วเราได้สร้างเขาเป็นรูปร่างใหม่ นั้นหมายถึงทารกน้อยนั้นได้ก้าวไปสู่ขั้นของชีวิตมนุษย์ ซึ่งในขั้นนี้เด็กจะมีความรู้สึก และมีการขยับเขยื้อนตัว อัล-กุรอาน กล่าวถึงความมหัศจรรย์ตรงนี้โดยใช้คำว่า แล้วเราได้สร้างเขาเป็นรูปร่างใหม่ ซึ่งบ่งบอกให้เห็นถึงระยะทางอันยาวไกล แต่มนุษย์สามารถประสบความสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้นนิดเดียว

ท่านอิมามบากิร (อ.) กล่าวว่า แล้วเราได้สร้างเขาเป็นรูปร่างใหม่ นั้นหมายถึง การเป่าดวงวิญญาณเข้าไปบนร่างของทารกน้อย

ไม่ต้องสงสัยว่าทารกน้อยเริ่มมีชีวิตนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่ตราบเท่าที่ยังอยู่ในครรภ์ของมารดาทารกจะไม่รับรู้ความรู้สึกหรือขยับเขยื้อนได้ ซึ่งในความเป็นจริงมีส่วนคล้ายต้นพืชมากกว่าสัตว์หรือมนุษย์ แต่หลังจากกาลเวลาผ่านไปไม่กี่เดือนจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์จะถูกฟื้นฟูขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ รายงานในอิสลามกล่าวว่าก่อนที่ทารกจะดำเนินมาถึงขั้นนี้จะไม่มีทางพบกับความสมบูรณ์เด็ดขาด แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วทารกนั้นก็จะกลายเป็นเด็กสมบูรณ์

อัล-กุรอาน กล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงจำเริญยิ่ง ผู้ทรงเลิศแห่งปวงผู้สร้าง ทั้งที่ไม่มีผู้สร้างคนใดอีกนอกจากพระองค์ ด้วยเหตุนี้ คำว่าการสร้างจึงไม่ได้หมายถึงการบังเกิดภายหลังจากการสูญสิ้นเท่านั้น ทว่าให้ความหมายอื่นอีก เช่น การกำหนด หรือการสร้างสรรค์ หรือการให้รูปร่างใหม่แก่สรรพสิ่งที่มีอยู่บนโลก แน่นอนว่า มนุษย์สามารถใช้สติปัญญาและพละกำลังที่พระเจ้าทรงประทานให้มาทำการเปลี่ยนแปลงและสร้างสิ่งต่างๆ ได้มากมาย เช่น นำธาตุเหล็กมาถลุงเป็นเหล็กกล้าหลังจากนั้นนำเหล็กไปสร้างเป็นอาคารบ้านเรือน และอุปกรณ์ของใช้อื่นๆ ได้มากมาย

ด้วยเหตุนี้ คำว่าการบังเกิด หรือการสร้างสรรค์มีความหมายกว้างซึ่งครอบคลุมความหมายต่างๆ เหล่านี้เข้าไปด้วย ดังที่อัล-กุรอานกล่าวถึงคำพูดของศาสดาอีซา (อ.) ว่า ฉันจะจำลองขึ้นจากดินให้แก่พวกท่าน ดั่งรูปนก แล้วฉันจะเป่าเข้าไปในมัน แล้วมันก็จะกลายเป็นนก ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ (อัล-กุรอานอาลิอิมรอน โองการที่ 49)

แน่นอนว่า ผู้สร้างที่แท้จริงคือผู้สร้างวัตถุดิบขึ้นมาและพละกำลังตลอดจนความพิเศษของสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องย้อนกลับไปหาพระองค์ ซึ่งผู้สร้างดังกล่าวมีเฉพาะพระเจ้าเท่านั้น ส่วนการสร้างหรือการบังเกิดของสรรพสิ่งอื่นล้วนเป็นเพียง การบังเกิดในเชิงสำรองโดยการเปลี่ยนรูปร่างของสรรพสิ่งให้เป็นอย่างอื่นโดยได้รับอนุญาตจากพระเจ้า

โองการที่สอง อันดับแรกกล่าวถึงขั้นตอนการเริ่มต้นความเป็นมนุษย์หมายถึง ในเวลานั้นมีหยดน้ำไร้ค่าหนึ่งนามว่าอสุจิ (มนี) หลังจากนั้นโองการกล่าวถึงขั้นตอนของ การกลายเป็นก้อนเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้นตอนของการพัฒนาการของทารก ต่อมาโองการกล่าวถึงขั้นตอนของ การบังเกิดแล้วทรงทำให้ได้สัดส่วนสมบูรณ์ ซึ่งถือว่าเป็นการอธิบายความได้อย่างครอบคลุมที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้วทารกจะถูกจำแนกออกเป็นคู่ เป็นเพศชายและเพศหญิง นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่แยบยลและประณีตอย่างยิ่ง และถือเป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งอัล-กุรอานกล่าวว่า หลังจากพระองค์ทรงบังเกิดแล้วก็ทรงทำให้ได้สัดส่วนสมบูรณ์ แล้วพระองค์ทรงทำให้เขาเป็นคู่ เป็นเพศชายและเพศหญิง

โองการที่สาม กล่าวถึงประเด็นใหม่เนื่องเมื่อผ่านขั้นตอนของการสร้างมนุษย์จากน้ำอสุจิแล้ว อัล-กุรอานได้กล่าวเตือนสำทับมนุษย์ว่า มนุษย์มิได้พิจารณาดูดอกหรือว่าเราได้บังเกิดเขามาจากน้ำอสุจิ แล้วจงดูซิ เขาได้กลายเป็นคู่ปรปักษ์ตัวฉกาจได้อย่างไร

นักวิชาการบางท่านกล่าวว่าประเด็นดังกล่าวบ่งชี้ให้เห็นถึงประเด็นหลักอีก 2 ประเด็นกล่าวคือ ความอ่อนแอ และความเข็มแข็งของมนุษย์ วันหนึ่งมนุษย์เป็นเพียงหยดอสุจิที่ไร้ค่า ต่อมาอีกวันหนึ่งจากหยดอสุจินั้นได้วิวัฒนาการเป็นเรือนร่างที่ทรงพลังเข็มแข็งกล้าเผชิญหน้าท้าทายกับทุกสิ่ง แม้แต่อัลลอฮฺ พระผู้ทรงสร้างเขาขึ้นมา

นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า หมายถึงพลังที่ขับออกมาเป็นเสียงพูดและพลังความเข้าใจของมนุษย์ ซึ่งอสุจิที่ไร้ค่าได้พัฒนาตนเองไปถึงขั้นที่ว่า มิใช่พูดเป็นแต่เพียงอย่างเดียวทว่าคิดเป็น และสามารถพิสูจน์ได้อีกต่างหาก ดังนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าปรากฏการณ์แห่งการพูดอธิบายและการพิสูจน์ได้ด้วยเหตุผล เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับความเป็นมนุษย์

ดังนั้น จากโองการทั้งสามที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การกำเนิดทารกเป็นระบบที่สลับซับซ้อน และสร้างความประหลาดใจอย่างยิ่งถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งการมีอยู่จริงของพระเจ้า ผู้ทรงรังสรรค์ พระผู้ทรงเดชานุภาพ พระผู้ทรงปรีชาญาณยิ่ง ความรอบรู้ของพระองค์ไม่มีขอบเขตจำกัดซึ่งปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นย่อมยืนยันให้เห็นสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน อีกด้านหนึ่งความสามารถของพระองค์ที่มีเหนือปัญหาการฟื้นคืนชีพหรือการมีชีวิตเบื้องหลังความตาย เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนขึ้นมายิ่งขึ้น เนื่องจากทารกในครรภ์นั้นมีชีวิตใหม่ขึ้นทุกวัน ประหนึ่งการฟื้นคืนชีพหลังชีวิตเก่าเสมอ ฉะนั้น การพัฒนาการและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์เป็นเหตุผลที่บ่งบอกให้เห็นถึง ความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้าและปัญหาเรืองการฟื้นคืนชีพภายหลังความตาย