เหตุใดมุสลิมจึงไม่กินหมู

      การบริโภคอาหารในอิสลามมีความมุ่งหมายเพื่อสุขภาพเป็นประการ สำคัญ และให้มีการสำนึกในความกรุณาของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงประทานเครื่องยังชีพด้วย อาหารต้องห้ามหลายชนิดไม่เป็นที่สนใจของใคร แต่การห้ามกินหมูซึ่งเป็นอาหารโปรดของคนบางกลุ่ม กลับทำให้เป็นที่สงสัยกันมากมายว่า “เหตุใดมุสลิมจึงไม่กินหมู”

      เหตุผลหลักคือ เป็นการแสดงความเคารพเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นคำสั่งใดก็ตาม เหตุผลอื่นล้วนเป็นเหตุผลประกอบเช่น มุสลิมไม่กินหมูเพราะถือว่าเป็นสัตว์สกปรก กินสิ่งปฏิกูล   ไม่ดีต่อสุขภาพ และทางการแพทย์ได้ตรวจพบแล้วว่า เนื้อหมูมีไขมันมาก ไม่สะดวกในการย่อย มีโทษมากกว่าคุณ ทำให้ไขมันในเลือดสูงขึ้น เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคทางร่างกายมากมาย นอกจากนี้ “  พยาธิทริคคิโนซิซ ” ซึ่งเป็นพยาธิในหมูนั้นทำอันตรายแก่ผู้บริโภคถึงแก่ชีวิตได้ แม้ว่าเราจะปรุงอาหารที่ทำจากเนื้อหมูจนสุกแล้วก็ตาม แต่พยาธิในหมูนั้นยังไม่ตาย ซึ่งร้ายแรงกว่าพยาธิใน สัตว์อื่นๆ ซึ่งป้องกันได้โดยปรุงอาหารให้สุก

      การที่ชาวมุสลิมไม่กินหมูนั้น เป็นเรื่องที่แตกต่างจากชาวฮินดูไม่กินเนื้อวัว ทั้งนี้เพราะชาวฮินดูบูชาวัว แต่มุสลิมไม่กินหมูมิใช่เพราะชาวมุสลิมบูชาหมู เมื่อเป็นเช่นนี้อิสลามจึงอนุญาตให้มุสลิม “กินหมูได้” ในยามคับขัน ทั้งนี้เพื่อให้ฃีวิตอยู่รอด ดังคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า ที่ได้ตรัสไว้ ดังนี้

       “พระองค์ได้ทรงห้ามสูเจ้าเพียงแต่ (สัตว์) ที่ตายเอง และเลือด (ที่คั่งและไหลออกมา) และเนื้อของสุกร และ (สัตว์) ที่ถูกเปล่งนามอื่นจาก (พระนามของ) อัลลอฮฺบนมัน (เวลาเชือด) แต่ผู้ใดก็ดีถูกคับขัน (ที่ต้องบริโภคอาหารเช่นนี้) ไม่ใช่เจตนาขัดขืน (หรืออยากลอง) และไม่ใช่ละเมิด (บริโภคเกินความคับขันเกินความจำเป็น) ดังนั้น ไม่เป็นบาปแก่เขา แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยเสมอ” (อัล-กุรฺอาน 2 :173)

      นอกจากศาสนาอิสลามแล้ว คัมภีร์ของศาสนายิวและคริสต์ก็ห้ามกินหมูด้วย ดังเช่น ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิล (พระคริสตะรรมเดิม) “เกวีติโก” บทที่  11 วรรค 7-8 ระบุว่า “และตัวหมู...ก็เป็นสัตว์ไม่สะอาดแก่ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าได้กินหรือถูกต้องสัตว์เหล่านี้เลยเป็นสัตว์ที่ไม่สะอาดแก่ท่านทั้งหลาย”

      อิสลามไม่มีข้อห้ามในการถูกหมูหรือสุนัข แต่ถ้าสุนัขมาเลียภาชนะ เช่น แก้วน้ำ จานข้าว อิสลามให้ชำระล้างด้วยน้ำดิน 1 ครั้งและน้ำสะอาดอีก 6 ครั้ง การล้างด้วยวิธีนี้อาจจะเป็นการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าก็ได้ หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ เรื่องนี้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

การเข้าสุนัต กับ การป้องกันโรค

      การเข้าสุนัต (คิตาน) ความเป็นมาและผลแห่งการเข้าสุนัตเกี่ยวกับการทำความสะอาดร่างกายที่ต้องตัด ตบแต่ง เพื่อขจัดความสกปรกและเหตุผลทางการแพทย์เกี่ยวหับเรื่องนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อล ฯได้ให้โอวาทไว้ดังนี้....

      “ธรรมชาติ 5 สิ่ง (ในกายมนุษย์) ที่ต้องได้รับการตบแต่ง คือ การเข้าสุนัต ขจัดขนในร่มฟ้า ตัดเล็บ และการแต่งหนวดเครา”

      การตัดหนัง หุ้มปลายอวัยวะสืบพันธุ์ของชาย ภาษาอาหรับเรียก “คิตาน” ทางการแพทย์เรียกว่า “เซอร์คัมซัสซัน” หมายถึงการศัลยกรรมที่ทำการตัดหนังหุ้มหลวมๆ อยู่ตอนปลายอวัยวะสืบพันธุ์ของชาย หนังนี้ทางการแพทย์เรียกว่า “พรีพิวส์” คนไทยเข้าใจและเรียกว่า เข้าสุนัต, เข้าสุนัต บางทีเรียกว่า เข้าแขก จะนิยมเรียกอย่างไรก็ตามคงหมายถึงการตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะสืบพันธุ์ของชายโดยเฉพาะ

      การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะสืบพันธุ์ของชายเป็นหลักสากลมีมาแต่บรรพกาลกระทำกันในเผ่าที่เจริญรุ่งเรืองมาแล้วเช่นชาวอียิปต์โบราณ ชาวฮิบรู (ยิว)  ชาวอาหรับ ชาวจีน ชาวแอฟริกัน ชาวแอชเดต ชาวอินเดียที่อยู่ในทวีปอเมริกาและยังมีในชนบทอื่นอีกมาก เท่าที่ค้นจากประวัติศาสตร์  ว่าการเข้าสุนัตนั้นได้มีมาตั้งแต่สมัยท่านนบีอิบรอฮีม ความมุ่งหมายอันสำคัญในเรื่องนี้ เพื่อความสะอาดเป็นสำคัญ

      มีผู้เขาใจกันว่า “การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะสืบพันธุ์ของชาย” เป็นเรื่องแสดงออกถึงการพลีกรรมให้แก่พระเจ้าและยังเข้าใจว่า เป็นพิธีกรรมที่แสดงให้เห็นว่าชายหรือหญิงนั้นเจริญเติบโตเป็นหนุ่มสาวเต็มที่แล้ว และเสมือนหนึ่งว่าได้มีการเชื่อมโยงทางสายเลือดระหว่างพระเจ้ากับบุคคลที่นิยมกระทำกัน ความเข้าใจที่กล่าวมาข้างต้น เป็นความเข้าใจที่ผิดพลาด ไม่ตรงกับความประสงค์ของอิสลาม อิสลามสอนให้มุสลิมเข้าสุนัตเพื่อความสะอาดเป็นประการสำคัญ และขจัดสิ่งสกปรกที่จะทำให้เกิดโรค หากจะพูดในแง่พลีกรรมในคำสอนของอิสลามไม่มีบัญญัติให้มนุษย์ทำการพลีกรรมแก่พระเจ้านอกจากเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ (เช่น  การเชือดสัตว์เอาเนื้อแจกจ่ายให้กับผู้อ่าน ที่เรียกว่า “กุรฺบาน”)  การบูชา การสังเวย และพิธีกรรมต่างๆ มีบัญญัติห้ามกระทำอย่างเด็ดขาด เพราะอิสลามสอนให้มนุษย์ศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว และให้ปฏิบัติตามข้อบัญญัติในคัมภีร์กุรฺอาน และมีท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) นำมาเทศนา

      อิสลามสอนให้มนุษย์ทำการภักดีต่อ อัลลอฮฺ   (ซบ.) ด้วยความ สะอาด จิตบริสุทธิ์  การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะสืบพันธุ์ของชายเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาความสะอาด หากหนัง หุ้มนั้นยังปกคลุมอยู่ ส่วนวัตถุที่คล้ายเนยแข็งซึ่งขับถ่ายออกมาโดยผิวหนังของบริเวณปลายอวัยวะสืบพันธุ์ที่เรียกว่า “ เสมกม่า ”  ก็จะหมักหมมอยู่ การเข้าสุนัตเป็นการขจัดสิ่งนี้โดยวิธีที่ดีที่สุด

      อีกประการหนึ่งเพื่อป้องกันน้ำปัสสาวะค้างอยู่ซึ่งเป็นสิ่งสกปรกมีกลิ่นยากแก่การทำความสะอาด การเข้าสุนัตในด้านการแพทย์ให้ความเห็นว่า สุนัตเป็นมาตรการที่มีความสำคัญในทางสุขวิทยาเป็นอย่างมาก  แพทย์บางท่านเห็นว่าสมัยนี้ในสุขวิทยาเจริญมากว่าแต่ก่อนสมควรให้มีการเข้าสุนัต และแนะนำให้เด็กที่เกิดมาทุกคนได้รับการเข้าสุนัต โดยให้เหตุผลว่า “ในรายที่เด็กมีหนังหุ้มปลายอวัยวะสืบพันธุ์แคบและตึงมากไม่สามารถจะดึงให้หุ้มได้หมด ในรายที่มีหนังหุ้มยาวมากเกินควร จนขังน้ำปัสสาวะซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคขึ้นได้  ถ้าชำระความสะอาดทำได้ไม่สะดวก ในรายที่หนังหุ้มแคบมาก “ ไพโมซิส ” ซึ่งทำให้เจ็บปวดเมื่อแข็งตัว และปัสสาวะลำบากแก้ไขได้โดยการเข้าสุนัต ”

      ผู้เชี่ยวชาญทางโรคมะเร็วค้นพบว่าการเป็นโรคมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์ของชายจะมีอัตราสูงในชายจะมีอัตราสูงในชายที่ไม่ได้รับการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะสืบพันธุ์ และเกี่ยวกับเรื่องนี้แพทย์ยังค้นไม่พบสาเหตุว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เกี่ยวกับโรคมะเร็งที่อวัยวะสืบพันธุ์ ศจ.นพ.วิโรจน์   สุวรรณสุทธิ์ ให้ข้อสังเกต ไว้ว่า

      “ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอีกข้อหนึ่งคือ ผู้ป่วยคนไทยที่เป็นมะเร็งที่ลึงค์ (อวัยวะสืบพันธุ์) ร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นในผู้ที่หนังหุ้มปลายลึงค์ ออกตั้งแต่อายุ 8 วัน เกือบจะไม่พบมะเร็งที่ลึงค์เลย มะเร็งในปากมดลูกหญิงยิว-มุสลิมก็น้อยด้วย ผู้ที่ปลายลึงค์รูดเข้าหาไม่ได้ ต้องให้แพทย์ตัดหนังนั้นออกเสีย ”

      การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะสืบพันธุ์ชายเป็นศัลยกรรมเล็ก และทำได้ง่ายดายมาก แต่ต้องทำด้วยเทคนิคที่ระมัดระวังในเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษเพื่อป้องกันโรคแทรก อายุที่จัดว่าเหมาะสมที่สุดในการเข้าสุนัตนั้นคือ ขณะที่อยู่ ในวัยทารกตั้งแต่อายุ 1 ขวบ ถึง 6 ขวบ บางแห่งถือความสมบูรณ์ของเด็กเป็นเกณฑ์

      ส่วนพิธีกรรมแห่งการเข้าสุนัตนี้ ไม่พบหลักฐานหรือคำสั่งโดยเฉพาะให้ปฏิบัติ เท่าที่ทราบว่าท่านนบีมุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ให้เราตบแต่งธรรมชาติ ของมนุษย์ที่อยู่ในร่างกายเพื่อความสะอาดและป้องกันโรคดังที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว การตบแต่งธรรมชาติทั้งห้าประการนี้ ไม่มีพิธีกรรม กิจกรรมใดๆ นอกจากการตัดโกนตามความเหมาะสม เพราะเป็นการกระทำเพื่อสุขภาพ อิสลามไม่ใช่เป็นศาสนาที่มีพิธีการ เป็นระบบ สันติก่อประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติและสังคม