การกำเนิดมนุษย์

การศึกษาเกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์มีมาตั้งแต่โบราณ ในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราช อริสโตเติล (Aristotle B.E. 322-384)  นักปราชญ์กรีก ได้บันทึกการสังเกตพัฒนาการของตัวอ่อนในไก่และสัตว์อื่นๆด้วยตาเปล่าและนับได้ว่าท่านเป็นผู้วางรากฐานของวิชา Embryology  ก่อนที่วิทยาการสมัยใหม่ที่เริ่มเมื่อศตวรรษที่ 17 และปฏิเสธแนวคิดของท่านที่ว่าทารกมีการพัฒนามาจากการรวมของเลือดประจำเดือนกับนำอสุจิ      

  ศาสตราจารย์  Keith Moore หัวหน้าแผนก สรีรวิทยาและEmbryology มหาวิทยาลัยโทรอนโต ประเทศคานาแด ได้เขียนในหนังสือ “The Developing Human” ว่า ในช่วงทศศตวรรษก่อนหน้าหนี้ ความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของทารกไม่ได้มีอะไรพัฒนาขึ้นเลย แต่ในช่วงศตวรรษที่ 7 อัล กุรอานซึ่งเป็นคัมภีร์ของมุสลิมได้บันทึกเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ ว่ามนุษย์ได้กำเนิดจากการปฏิสนธิกันระหว่างน้ำเชื้อของฝ่ายหญิงกับฝ่ายชาย และในคัมภีร์ได้กล่าวถึงพัฒนาการในขั้นต่างๆ เริ่มตั้งแต่ที่มีการปฏิสนธิจากหยดน้ำไปฝังตัวอยู่ในมดลูก แล้วเริ่มพัฒนาขั้นแรกเป็นก้อนเลือดที่ลักษณะเกาะแขวนอยู่(Leech)มีชีวิตจากเลือดอื่น จากนั้นก็จะพัฒนาเป็นก้อนเนื้อที่มีรูปร่างบงบอกอวัยวะบางอย่าง เช่น ฟัน  ซึ่ง ตรงกับขั้นตอนของการพัฒนาการของมนุษย์ในช่วงนั้นจริงๆ .. ถ้าท่านต้องการรู้เพิ่มเติมในสิ่งที่อัลกุรอานได้กล่าวถึงพัฒนาการของมนุษย์ ผมได้เขียนในหนังสือของผม ฉบับปี ค.ศ. 1986

ความรู้เกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์หรือพัฒนาการของมนุษย์นี้ นักสรีรวิทยาสมัยใหม่อย่างเช่น ศาสตราจารย์ Keith Moore ก็ ยอมรับว่าในสมัยที่วิทยาการทางตะวันตกอยู่ในยุคมืด แต่มุสลิมกลับมีความก้าวหน้าในเรื่องนี้โดยมีอัลกุรอานเป็นแหล่งความรู้ และความรู้เหล่านี้ได้แพร่ขยายเข้าไปยังตะวันตกเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ วิชาการด้านต่างๆของชาวตะวันตกในยุคปัจจุบัน

อัลลอฮฺได้ตรัสในอัลกุรอาน ว่า

  فَلْيَنظُرِ الْإِنسَانُ مِمَّ خُلِقَ   خُلِقَ مِن مَّاء دَافِقٍ  يَخْرُجُ مِن بَيْنِ الصُّلْبِ وَالتَّرَائِبِ

ความว่า : ดังนั้นมนุษย์จงไตร่ตรองดูซิว่าเขาถูกบังเกิดมาจากอะไร  เขาถูกบังเกิดมาจากน้ำที่พุ่งออกมา มันออกมาระหว่างกระดูกสันหลังและกระดูกหน้าอก (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัฏ-ฏอริก 86/5-7)

จากโองการข้างต้น ทำให้เกิดความรู้ใหม่ซึ่งไม่ใช่ความรู้ที่ได้จากทดลองหรือพิสูจน์ตามหลักการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่  เป็นความรู้ที่ได้จากผู้สร้างผ่านศาสนทูต (เราะซูล) ของพระองค์ เป็นความจริง(Fact) ที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ แต่สามารถอธิบายตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้ 

โองการ แรกที่นำมาในที่นี้เป็นการให้เราศึกษา ไตร่ตรองและตระหนักถึงความเป็นมาของมนุษย์ มนุษย์ถูกสร้างมาอย่างไรและสร้างมาจากสิ่งใด

น้ำที่ฉีดพุ่ง

 خُلِقَ مِن مَّاء دَافِقٍ

ความว่า : เขาถูกบังเกิดมาจากน้ำที่พุ่งออกมา…(อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัฎฎอริก 86/6) 

หลังจากมนุษย์คนแรกอัลลอฮฺได้สร้างขึ้นมาจากดิน(طين) และคู่ชีวิตซึ่งเป็นหุ่นส่วนในการที่จะให้เป็นต้นเหตุในการบังเกิดมนุษย์อย่างเราได้ถูกสร้างขึ้นจากซี่โครงของเขาแล้ว หลังจากนั้นมนุษย์ก็ถูกบังเกิดขึ้นในลักษณะที่เป็นไปตามครรลองปกติ จนถึงทุกวันนี้ 

อัลลอฮฺตรัสในสูเราะห์อัฏฏอริกนี้ว่า พระองค์ได้สร้างมนุษย์จากน้ำที่พุ่ง(دَافِقٍ ดาฟิก) ในอายัตนี้อัลลอฮฺใช้คำว่า دَافِقٍ ( ดาฟิก ) หมายถึง ฉีดพุ่งหรือไหลรินอย่างแรงและเร็ว

อุลามาอฺ(ผู้รู้) โดยเฉพาะ นักอรรถาธิบายอัลกุรอาน ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ ดังนี้

คำว่า دَافِقٍ มาในรูปประธาน หมายถึง น้ำพุ่งออกมาเอง   

บางคนให้ความเห็นว่า ในภาษาอาหรับบางครั้งหรือบางกรณีจะมีการใช้คำในรูปประธานและจะมีความหมายเป็นกรรม ในที่นี้ คำว่า دَافِقٍ อาจจะมีความหมายเป็น مَدفُوق  (ที่ถูกฉีดออกมา) ก็ได้

อุลามาอฺส่วนใหญ่จะให้ความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า น้ำที่ฉีดพุ่งนี้ หมายถึงน้ำอสุจินั้นเอง อุลามาอฺหลายคนจะให้ความเห็นว่าเป็นน้ำของฝ่ายชายเท่านั้น แต่ในโองการนี้จะกล่าวในลักษณะของทั่วไปๆ ไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นของฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง หรือเป็นน้ำที่ฉีดพุ่งมาจากทั้งสองฝ่าย

ความหมายของการปฏิสนธิ

การปฏิสนธิ   หมายถึง  การที่อสุจิของเพศชายเข้าผสมกับไข่ของเพศหญิง  เมื่อฝ่ายชายและฝ่ายหญิงมีการร่วมประเวณีหรือมีเพศสัมพันธ์กันแล้วตัวอสุจิ  (sperm)  ของฝ่ายชายเข้าไปผสมพันธุ์กับไข่  (Ovum)  ของฝ่ายหญิง โดยที่ไข่  1  ใบ  ผสมกับอสุจิ  1  ตัว  การปฏิสนธิมี  2  แบบด้วยกันคือ  การปฏิสนธิภายนอก  เช่น  การผสมเทียมเด็กหลอดแก้ว  กับการปฏิสนธิภายใน  เช่น  การฝังตัวของตัวอ่อนที่ผนังมดลูก

การฉีดพุ่งของน้ำอสุจิ (อาจรวมถึงน้ำฝ่ายหญิงด้วย) สามารถที่จะมองได้ทั้งสองลักษณะ คือ ทั้งที่เป็นน้ำที่ถูกทำให้ฉีด (แน่นอนผู้ที่กระทำให้ฉีดหรือกระทำทุกสิ่งบังเกิดขึ้นได้นั้นคืออัลลอฮฺ เราไม่จำเป็นที่จะต้องอภิปรายเพิ่มเติมอีก แต่ที่สามารถอภิปรายได้คือกลไกที่ทำให้น้ำฉีดออกมา) โดยการบีบเกร็งของกล้ามเนื้อ และมันพุ่งหรือไหลรินด้วยตัวของมันเอง เพราะมันเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่มีชีวิตแวกว่ายอยู่ในน้ำทำให้น้ำไหลรินได้

ไข่ของฝ่ายหญิงที่ห้อมล้อมด้วยน้ำกำลังตกจากรังไข่และถูกพัดโดยขนเล็กๆ (Ciliated Epithelium) เพื่อให้วิ่งเข้าสู้ท่อนำไข่ แล้วไข่ก็ไหลเข้าสู่มดลูก และไปยังจุดนัดพบ รอการเข้าเจาะของตัวอสุจิ และเกิดการปฏิสนธิต่อไป

ท่อนำไข่จะไม่มีการติดต่อกับรังไข่โดยตรง ปลายด้านหนึ่งเปิดเข้าสู่ช่องท้องใกล้ๆกับรังไข่ ตรงปลายสุดจะการขยายออกกว้างคล้ายปากแตร ตอนปลายสุดแยกเป็นแฉกๆ คล้ายนิ้วมือ  ในการนำไข่ให้เข้าสู่ท่อนำไข่และมดลูกนั้นจำเป็นที่จะต้องขับเคลื่อน ซึ่งอาจเรียกได้ว่ามีการ دَافِقٍ (ดาฟิก) พุ่งหรือไหลรินอย่างที่กล่าวไว้ในอัลกุรอาน  

กระบวนการปฏิสนธิ

การปฏิสนธิเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ  โดยการเริ่มจากฝ่ายชายและฝ่ายหญิงมีเพศสัมพันธ์กัน  เมื่อฝ่ายชายถึงจุดสุดยอดก็จะหลั่งน้ำอสุจิออกมาในการหลั่งน้ำอสุจิครั้งหนึ่ง ๆ  จะมีตัวอสุจิออกมากับน้ำอสุจิประมาณ  400-500  ล้านตัว  และจะมีตัวอสุจิที่แข็งแรงที่สุดเพียง 1  ตัว  เข้าไปเจาะเปลือกไข่ของฝ่ายหญิงซึ่งมีอยู่  1  ฟอง  สำหรับอสุจิตัวอื่น ๆ  จะไม่สามารถเจาะเปลือกไข่เข้าไปได้

เมื่อตัวอสุจิที่แข็งแรงที่สุดเจาะเปลือกไข่เข้าไปได้ก็จะรวมตัวกับนิวเคลียสภายในไข่นั้น ซึ่งเรียกไข่ที่ถูกตัวอสุจิเจาะนี้ว่า  “ไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์แล้ว”  เมื่อส่วนหัวและลำตัวของตัวอสุจิเข้าไปในไข่แล้ว  ส่วนหางจะหลุดออกและสลายไป  ส่วนตัวอสุจิที่ไม่มีโอกาสเจาะเปลือกไข่ก็จะตายไป

ไข่จะได้รับการผสมพันธุ์ที่บริเวณปีกมดลูก  หลังจากนั้นก็จะเคลื่อนตัวมาตามปีกมดลูกจนมาถึงมดลูก แล้วไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์นี้ก็จะเกาะติดและฝังตัวเข้ากับผนังหรือเยื่อบุภายในมดลูกซึ่งหนาและนุ่มคล้ายฟองน้ำ และมีเลือดมาหล่อเลี้ยงอยู่บริเวณนี้ตลอดเวลา

ตามปกติการปฏิสนธิจะเกิดจากไข่  1  ฟอง  ผสมกับตัวอสุจิ 1  ตัว  ในบางครั้งการปฏิสนธิอาจเกิดจากไข่  1 ฟอง และตัวอสุจิ  1 ตัวก็จริง แต่มีการเจริญเติบโตด้วยการแบ่งเซลล์ที่ผิดปกติและแบ่งออกจากกันโดยเด็ดขาด  จึงเกิดทารกแบบฝาแฝดแท้  ซึ่งจะเป็นทารกที่มีเพศเดียวกันรูปร่วงหน้าตาเหมือนกัน  แต่ถ้าการแบ่งเซลล์ ไม่แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาดอาจเกิดเป็นทารกที่มีบางส่วนของร่างกายติดกัน  ซึ่งการติดกันมีอยู่  3  แบบ  ได้แก่  ส่วนบนติดกัน  ส่วนล่างติดกัน และส่วนกลางติดกัน

ในบางครั้งการปฏิสนธิอาจเกิดจากไข่มากกว่า  1  ฟอง  ผสมกับตัวอสุจิมากกว่า  1  ตัว  จึงเกิดทารกแบบฝาแฝดเทียม  ซึ่งทารกที่เกิดมาอาจเป็นคนละเพศหรือเพศเดียวกันก็ได้ รูปร่างหน้าตาจะไม่เหมือนกัน

ระหว่างช่องกระดูก

 َيَخْرُجُ مِن بَيْنِ الصُّلْبِ وَالتَّرَائِبِ

          ความว่า : มันออกมาระหว่างกระดูกสันหลังและกระดูกหน้าอก.(อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัฏฏอริก 86/7)

          น้ำที่ไหลรินออกด้วยความเร็วและแรง มุ่งไปยังสถานที่ปฏิสนธินั้น มันพุ่งออกมาจากแหล่งกำเนิดที่อยู่ระหว่าง กระดูกสันหลัง (صُلْب) และกระดูหน้าอก (تَرَائِب  ) 

          อุลามาอฺ (ผู้รู้หรือนักวิชาการอิสลาม) มีความเห็นที่แตกต่างกับคำสองคำนี้    

          อัลบะฆอวี (البغوي) กล่าวว่า หมายถึงกระดูกสันหลังของผู้ชายและกระดูกส่วนอกของผู้หญิง อิบนุอับบาสได้กล่าวว่า มันคือบริเวณสร้อยคอหน้าอก

          อัลมะรอฆี (المراغي) ได้กล่าวในหนังสืออรรถาธิบายของเขาว่า صُلْب  หมายถึงกระดูกสันหลัง และ تَرَائِب   หมายถึงกระดูกซี่โครงตรงทรวงอก  ฉะนั้นคำว่า بَيْنِ الصُّلْبِ وَالتَّرَائِبِ หมายถึง ระหว่างพื้นกระดูกสันหลังกับพื้นกระดูกซี่โครง

           อิบนุก็อยยิม ได้กล่าวว่า ไม่แตกต่างถ้าจะบอกว่า صُّلْب กระดูกสันหลัง หมายถึง صُّلْب กระดูกสันหลังของผู้ชาย และคำว่า  تَرَائِب หมายถึงช่องกระดูกระหว่างกระดูกซี่โครงกับช่องนม 

           และคนอื่นๆ ได้ให้ความเห็นที่นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วบ้าง ก็มีความเห็นว่า تَرَائِب หมายถึง มือสองข้าง ขาสองข้าง คอ[3] และกระดูกต้นขา หรือกระดูกที่อยู่ระหว่างขาทั้งสอง

           จากการศึกษาทางสรีรวิทยาและพัฒนาการของมนุษย์ พบว่า ก่อนที่ต่อมเพศ (Gonad) เป็นต่อมที่สร้างฮอร์โมนเพื่อสร้างอสุจิและไข่จะอยู่ในตำแหน่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (ผู้ชายจะอยู่ที่อัณฑะและผู้หญิงอยู่ที่รังไข่) หลังจากเกิดการปฏิสนธิได้  7  วันแล้ว  จากนั้นตัวอ่อนจะเจริญเติบโตเป็นทารก  โดยแบ่งลักษณะการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ออกเป็น  4  ระยะ  ได้แก่   ระยะไข่  เป็นระยะของไข่ในช่วง  2  สัปดาห์แรก ภายหลังจากการปฏิสนธิ  ระยะตัวอ่อน  นับตั้งแต่สัปดาห์ที่  2  ถึงสัปดาห์ที่  8  หลังจากปฏิสนธิ  ระยะทารก  นับตั้งแต่ปลายเดือนที่  2  หรือต้นเดือนที่  3  ของการตั้งครรภ์ และระยะคลอด คือระยะที่เด็กในครรภ์อายุครบ  10  เดือน  จึงคลอดออกมาจากครรภ์มารดา