โลกทัศน์ในการรู้จักพระเจ้า

โลกทัศน์ในการรู้จักหมายถึงการอธิบายถึงสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดบนโลกนี้

บางคนกล่าวถึงโลกว่าเป็นสรรพสิ่งหนึ่งที่มีเป้าหมาย มีการสนับสนุนหมายถึงมีสติสัมปชัญญะบนพื้นฐานของของการวางแผน และระบบระเบียบที่ถูกคำนวณนับไว้อย่างยอดเยี่ยมซึ่งรวมเรียกว่า โลกทัศน์ในการรู้จักพระเจ้า

บางคนกล่าวถึงโลกว่า โลกคือสิ่งมีอยู่ที่มิได้มีการเขียนแบบไว้ก่อนหน้า ไม่มีแบบแผนที่มีสติสัมปชัญญะ และไม่มีเป้าหมายที่คำนวณไว้อย่างยอดเยี่ยมแต่อย่างใด ซึ่งเรียกว่า โลกทัศน์ในทัศนะของวัตถุนิยม

ความแตกต่างระหว่างโลกทัศน์ทั้งสองนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน ตลอดจนความแตกต่างในบั้นปลายก็ไม่เป็นที่สงสัยหรือคลางแคลงแต่อย่างใด เนื่องจากถ้ามีความเชื่อว่า โลกที่มีอยู่เปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่งที่ไม่มีเจ้าของ ไม่มีการวางแผน และไม่มีการคำนวณนับไว้อย่างแน่นอน ทำไม่เราต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย และทำไมเราไม่กระทำทุกสิ่งตามใจปรารถนาของตนเอง

แต่ถ้าสมมุติว่าบ้านหลังนี้มีเจ้าของ และมีการคำนวณนับไว้อย่างแม่นยำทุกสิ่งบนโลกมีการกำหนดขอบเขตและขนาดที่แน่นอนไว้ ดังที่พระคัมภีร์อัล-กุรอานกล่าวว่า พระเจ้าเป็นผู้ทรงกำหนดในกิจการของพระองค์โดยแน่นอนสำหรับทุกสิ่ง (อัล-กุรอาน บทอัฏเฏาะลาก โองการที่ 3) ดังนั้น จะเห็นว่าไม่มีใบไม้สักใบเดียวล่วงหล่นจากต้น เว้นเสียแต่ว่าถูกคำนวณนับไว้อย่างแม่นยำ ดังที่อัล-กุรอานกล่าวว่า พระองค์นั้นมีบรรดากุญแจแห่งความเร้นลับโดยที่ไม่มีใครรู้จักกุญแจเหล่านั้น นอกจากพระองค์ และพระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน ในทะเล และไม่มีใบไม้ร่วงหล่นลงจากต้น นอกจากพระองค์จะทรงรู้มัน (อัล-กุรอาน บทอันอาม โองการที่ 59) ฉะนั้น เราก็เป็นหนึ่งในสรรพสิ่งทั้งหลายที่เป็นส่วนหนึ่งที่อยู่บนโลกนี้ หน้าที่ของเรา คือ การกระทำในสิ่งที่เจ้าของบ้านพอใจ ถ้าการมีอยู่ของสรรพสิ่งทั้งหลายมิได้มีการคำนวณนับ ไม่มีเป้าหมาย และไม่มีการวางแผน สำหรับคนเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องยอมรับกฎระเบียบใด ๆ ทั้งสิ้น

มนุษย์กลุ่มหนึ่งที่กล่าวฉันมีความเชื่อในพระเจ้า เนื่องจากอัล-กุรอาน กล่าวกับเราว่า แน่นอน พระเจ้าได้สร้างชั้นฟ้าทั้งเจ็ดไว้เบื้องบนเหนือพวกเจ้า และพระองค์มิได้เพิกเฉยทอดทิ้งระบบการสร้าง และพระองค์ได้ทรงหลั่งน้ำให้ลงมาจากฟากฟ้าตามปริมาณ แล้วพระองค์ได้ให้มันขังอยู่ในแผ่นดิน แท้จริงพระองค์สามารถให้มันเหือดหายไปโดยฉับพลัน และจากน้ำนั้นพระองค์ทำให้มันเป็นสวนหลากหลายแก่พวกเจ้า ซึ่งมีต้นอินทผลัมต้นองุ่นสำหรับสูเจ้า ในสวนนั้นมีผลไม้มากมายหลายชนิดส่วนหนึ่งสูเจ้าได้บริโภค และพระองค์ได้ทรงทำให้เป็นต้นไม้ขึ้นมา ณ ภูเขาซีนายซึ่งมันได้ผลิตออกมาเป็นน้ำมันและน้ำแกง สำหรับผู้บริโภค (อัล-กุรอาน บทอัลมุอฺมินูน โองการที่ 17- 20)

พวกเขายังเชื่ออีกว่า และอำนาจเด็ดขาดแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเป็นของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงอภัยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะทรงลงโทษผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ แน่นอน อัลลอฮฺ เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ (อัล-กุรอาน บทอัลฟัตฮฺ โองการที่ 14)

เมื่อพวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง และทุกสรรพสิ่งนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของพระองค์ ดังที่อัล-กุรอาน กล่าวว่า แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นทรงเฝ้าดูอย่างแน่นอน (อัล-กุรอาน บทอัลฟัจญฺริ โองการที่ 14)

แน่นอน ความประพฤติและการปฏิบัติของมนุษย์จำพวกนี้จะไม่มีวันคล้ายเหมือน กับมนุษย์ที่ไม่มีความเชื่อในเรื่องพระเจ้าผู้สร้างสรรค์

สามารถกล่าวได้ว่าเฉพาะโลกทัศน์ของพระเจ้าเท่านั้น ที่สามารถควบคุมดูแลให้มนุษย์รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ เนื่องจากช่วงเวลาที่มนุษย์สามารถรับผิดชอบได้ดี ก็ต่อเมือมนุษย์อยู่ภายใต้ระบบที่มีความเป็นระเบียบ นอกจากนั้นยังมีคำกล่าวอีกว่า มนุษย์ที่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ ทุก ๆ หน้าที่ย่อมมีผู้รับผิดชอบในหน้าที่ ๆ เราปฏิบัติ ดังนั้น เมื่อเราเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ไม่มีเจ้าของ ฉะนั้น เราจะปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบเพื่อสิ่งใดและเพื่อใครเพราะไม่มีผู้รับผิดชอบการกระทำของเรา ถ้ากล่าวว่า เราปฏิบัติหน้าที่เพื่อสรรพสิ่งถูกสร้างด้วยกัน ใครคือสรรพสิ่งถูกสร้าง เพราะสรรพสิ่งถูกสร้างก็เหมือนกันเราที่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อหน้าผู้ใดทั้งสิ้น

แน่นอน ในทัศนะของมนุษย์ที่เป็นวัตถุนิยมที่เชื่อว่า ไม่มีการวงแผนไว้ก่อนล่วงหน้า ทุกสิ่งและทุกเหตุการณ์เป็นปัญหาเฉพาะหน้าทีเกิดอย่างฉับพลันทันด่วนสำหรับบุคคลนั้น และมนุษย์ทุกคนกำลังเดินทางไปสู่ความสูญสิ้นทั้งสิ้น ความตายคือการสิ้นสุดของมนุษย์ เป้าหมายที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ คือ การสรรหาความสุขให้แก่ชีวิตให้มากที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ หรือบางครั้งคนไม่มีโชคก็จะเผชิญกับปัญหาตลอดไป หลังจากนั้นทุกคนก็ต้องจากไปหรือสูญสิ้นไปจากโลกนี้ แนวความคิดเช่นนี้สามารถกล่าวถามตนเองได้ว่า ทำไมเราต้องเกิดขึ้นมาด้วยและทำไมเราจึงฆ่าตัวตายไม่ได้ เพราะจะได้หมดเวรหมดกรรมเร็ว

แต่สำหรับทัศนะที่เชื่อในเรื่องพระเจ้าจะทำให้มนุษย์มีจิตใจสงบไม่วาดระแวง ดังที่อัล-กุรอาน กล่าวว่า บรรดาผู้ศรัทธานั้นจิตใจของพวกเขาสงบด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮ จงรู้ไว้เถิดว่า การรำลึกถึงอัลลอฮเท่านั้นทำให้จิตใจสงบ (อัล-กุรอาน บทอัรเราะอฺดฺ โองการที่ 27)

พระเจ้าทรงประทานรางวัลแก่ผู้กระทำความดีงาม และทรงพึงพอใจการกระทำของปวงบ่าวอย่างเฉียบพลัน โอ้ พระผู้ทรงรีบเร่งในความพึงพอพระทัย

สรรพสิ่งในโลกทัศน์ของการรู้พระผู้เป็นเจ้า

การสร้างสรรค์สรรพสิ่งทั้งหมดบนโลกนี้ สร้างขึ้นมาบนพื้นฐานของความเมตตากรุณาและความการุณย์ของพระเจ้า ดังที่อัล-กุรอาน กล่าวว่า จงกล่าวถามซิว่า สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน เป็นของผู้ใด จงกล่าวเถิดว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นของอัลลอฮฺ พระองค์ได้ทรงกำหนดความเอ็นดูและเมตตาไว้ในพระองค์ แน่นอน พระองค์จะทรงรวบรวมพวกเจ้าไปสู่วันแห่งการสิ้นโลก โดยที่ไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ (อัล-กุรอาน บทอันฟาล โองการที่ 29)

พระเจ้าทรงตรัสว่า ข้ามิได้สร้างสิ่งใดขึ้นมาเพื่อหวังประโยชน์ ทว่าข้าได้สร้างทุกสิ่งขึ้นมาเพื่อความสมบูรณ์ของสิ่งนั้น ดังนั้น ทุกสรรพสิ่งถูกสร้างดีและมีความสมสำหรับตัวเอง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงสร้างสิ่งที่ดีที่สุดขึ้นมา ดังที่อัล-กุรอาน กล่าวว่า พระเจ้า คือ ผู้ทรงทำให้ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างสรรค์ดีงาม และทรงเริ่มสร้างมนุษย์จากดิน (อัล-กุราอน บทอัซซัจญฺดะฮฺ โองการที 7)

ทุกสรรพสิ่งถูกสร้างบนโลกนี้ต่างทำการสรรเสริญพระเจ้าทั้งสิ้น ดังอัล-กุรอาน กล่าวว่า

ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ และทั้งหมดเป็นผู้จงรักภักดีต่อพระเจ้า (อัล-กุรอาน บทอัรโรม โองการที่ 26)

สรรพสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และในแผ่นดินต่างแซ่ซ้องสดุดีแด่อัลลอฮฺทั้งสิ้น อำนาจเด็ดขาดเป็นของพระองค์ มวลการสรรเสริญเป็นของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสรรพสิ่ง (อัล-กุรอาน บทอัตตะฆอบุน โองการที่ 7)

เจ้ามิเห็นดอกหรือว่า สรรพสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินตลอดจนนกที่กางปีกร่อนอยู่ ต่างแซ่ซ้องสดุดีพระเจ้าทั้งสิ้น ทั้งหมดต่างก็รู้จักการแซ่ซ้องของตน และอัลลอฮฺ ทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำ (อัล-กุรอาน บทอันนูร โองการที่ 41)

การกระทำของมนุษย์ไม่ว่าดีหรือเลวเล็กหรือใหญ่ล้วนได้รับรางวัลตอบแทนทั้งสิ้น อัล-กุรอาน กล่าวว่า ดังนั้น ผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าละอองธุลีเขาก็จะเห็นมัน (อัล-กุรอาน บทอัลซัลซะละฮฺ โองการที่ 6 - 7)

บั้นปลายสุดท้ายของโลกสิ้นสุดที่พระเจ้า และแท้จริงจุดหมายปลายทางย่อมไปสู่พระผู้อภิบาลของเจ้า (อัล-กุรอาน บทอัลนัจญฺมุ โองการที่ 42)

ผู้ทรงอภัยในบาป และผู้ทรงรับการขอลุแก่โทษ ผู้ทรงเข้มงวดในการลงโทษ ผู้ทรงเต็มเปี่ยมไปด้วยความโปรดปราน ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ และยังพระองค์คือการกลับไป (อัล-กุรอาน บทอัลฆอฟิร โองการที่ 3)

บุคคลที่มีโลกทัศน์ในการรู้จักพระเจ้าจะมีความรู้สึกว่าตนไม่เคยเปล่าเปลี่ยว หรือถูกโดดเดี่ยวแต่อย่างใดเพราะตนอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้า อัลกุรอาน กล่าวว่าอัลลอฮฺ คือ ผู้ทรงช่วยเหลือบรรดาผู้ที่ศรัทธาทั้งหลาย (อัล-กุรอาน บทอัลบะเกาะเราะฮฺ โองการที่ 257)

บุคคลที่มีโลกทัศน์ในการรู้จักพระเจ้าจะมีความรู้สึกที่กว้างไกล ดังที่กล่าวว่า บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย หากพวกเจ้ายำเกรงอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงให้การจำแนกระหว่างความจริงและความเท็จมีแก่พวกเจ้า (อัล-กุรอาน บทอัลอันฟาล โองการที่ 29)

พวกเขาจะมีความกว้างไกลในการศึกษาหาความรู้ กล่าวว่า พระองค์จะทรงหาทางออกให้แก่เขา (อัล-กุรอาน บทอัฏเฏาะลาก โองการที่ 2)

แนวทางดำเนินชีวิตของพวกเขาสะดวกและราบเรียบ ดังที่กล่าวว่า และพวกเจ้าจงเคารพภักดีข้า นี่คือแนวทางอันเที่ยงแท้ (อัล-กุรอาน บทยาซีน โองการที่ 61)

ผู้นำของพวกเขา คือ ผู้ได้รับการชี้นำจากฟากฟ้า ดังกล่าวว่า แท้จริง ฉันเป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่งเยี่ยงพวกท่าน เพียงแต่มีวะฮียฺ (วิวรณ์) มายังฉันว่า แท้จริง พระเจ้าของพวกเจ้าคือพระเจ้าองค์เดียว (อัล-กุรอาน บทอัลกะฮฺฟฺ โองการที่ 110)

 

พระเจ้าทรงถือว่ามนุษย์ คือ ตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน แท้จริงข้าจะให้มีผู้แทนคนหนึ่งบนหน้าแผ่นดิน (อัล-กุรอาน บทอัลบะเกาะเราะฮฺ โองการที่ 30)
พระองค์ทรงให้เกียรติมนุษย์เสมอ ดังตรัสว่า และแน่นอน เราได้ให้เกียรติแก่ลูกหลานของอาดัม (อัล-กุรอาน บทอัลอิสรออฺ โองการที่ 70)

พวกเขาไม่มีวันปฏิบัติตามผู้กดขี่ข่มเหงเด็ดขาด ดังตรัสว่า ดังนั้น ผู้ใดไม่ศรัทธาต่อผู้กดขี่ข่มเหง และศรัทธาต่ออัลลอฮฺแล้ว แน่นอนเขาได้ยึดห่วงอันมั่นคงไว้แล้ว (อัล-กุรอาน บทอัลบะเกาะเราะฮ โองการที่ 256)

ภารกิจการงานของพวกเขาจะถูกย้อมด้วยสีสันของพระเจ้า ดังตรัสว่า การย้อมของอัลลอฮฺ และใครเล่าจะย้อมดียิ่งไปกว่าอัลลอฮฺ (อัล-กุรอาน บทอัลบะเกาะเราะฮ โองการที่ 138)

พวกเขาสำนึกเสมอว่าความดีงามและความชั่วของพวกเขาล้วนมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น ดังตรัสว่า ความดีใด ๆ ที่ประสบแก่เจ้านั้นล้วนมาจากอัลลอฮฺ และความชั่วใด ๆ ที่ประสบแก่เจ้านั้นมาจากตัวของเจ้าเอง (อัล-กุรอาน บทอันนิซาอฺ โองการที่ 79)

เหมือนกับพื้นดินสว่างไสวด้วยแสงตะวันแต่มืดมิดด้วยตัวเอง บุคคลที่ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวขณะที่เขาเป็นบ่าวเขาคือเจ้าของเจตนารมณ์เสรีและความปรารถนา เขาเชื่อมั่นว่าแม้ว่าการดำรงอยู่มิได้อยู่ในมือของเขาก็ตาม แต่ความประพฤติของเขาอยู่ ณ พระองค์

สิ่งใดที่รักษาไว้เพื่อตนเองย่อมมีการดับสลาย ส่วนสิ่งใดที่ตนรักษาไว้เพื่ออัลลอฮฺสิ่งนั้นจะไม่มีการดับสลายเด็ดขาด ดังตรัสว่า สิ่งที่อยู่กับพวกเจ้าย่อมอันตรธาน และสิ่งที่อยู่กับอัลลอฮฺ จีรังถาวร แน่นอน เราจะตอบแทนบรรดาผู้อดทนด้วยรางวัลของพวกเขาที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้ (อัล-กุรอาน บทอันนะฮฺลฺ โองการที่ 96)

วันหนึ่งได้มีการเชือดแกะที่บ้านศาสดามุฮัมมัด (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่าน และครอบครัว) ท่านศาสดากล่าวว่า จงแบ่งเนื้อแกะให้แก่ผู้ยากจน หลังจากนั้นภรรยาคนหนึ่งของท่านกล่าวว่า โอ้ ท่านศาสดาเหลือเนื้อส่วนคอเก็บไว้ให้เรา ท่านตอบว่า มิใช่เช่นนั้นหรอก อันจริงเนื้อทั้งหมดถูกรักษาไว้ให้เรา ยกเว้นเนื้อส่วนคอที่เหลืออยู่