ประเภทของการเร้นกาย

    เมื่อพิจารณาสิ่งที่กล่าวมาจะเห็นว่าการเร้นกายของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เป็นสิ่งจำเป็น ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหว และการกระทำต่าง ๆ ของอิมามเป็นการเสริมสร้างความศรัทธา และหลักความเชื่อของประชาชนให้มีความมั่นคงแข็งแรง การเร้นกายของข้อพิสูจน์สุดท้ายของพระเจ้า จึงเป็นเหตุทำให้ศาสนาของประชาชนได้รับความเสียหาย และไม่อาจหาสิ่งอื่นทดแทนได้เด็ดขาด การเร้นกายได้รับการคำนวณนับไว้เป็นพิเศษตั้งแต่เริ่มต้นและดำเนินต่อไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า

    ช่วงเวลาก่อนที่อิมามมะฮฺดีย์ (อ.) จะประสูติบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) และเหล่าบรรดาสาวกได้มีการกล่าวถึงเรื่่องการเร้นกายและความจำเป็น ขณะเดียวกันแนวทางการติดต่อระหว่างชีอะฮฺกับอิมามอะลีฮาดีย์ และอิมามฮะซันอัซการีย์ (อ.) ได้เปลี่ยนไปและมีขอบเขตจำกัดมากขึ้น ผู้ปฏิบัติตามแนวทางของอะฮฺลุลบัยต์ (อ.) มิสามารถได้รับประโยชน์โดยตรงทั้งด้านวัตถุและด้านจิตวิญญาณจากอิมามของตน ซึ่งพวกเขาต้องติดต่อผ่านตัวแทนที่อิมามได้แต่งตั้งขึ้น เพื่อสอบถามปัญหาและปฏิบัติหน้าที่ของตนที่มีต่อศาสนา เมื่ออิมามฮะซันอัซการีย์ (อ.) ชะฮีด ยุคสมัยของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ก็เริ่มต้นขึ้น กระนั้นประชาชนก็ยังไม่สามารถติดต่อกับอิมามของตนได้อยู่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง พวกเขาสามารถติดต่อกับอิมามของตนโดยผ่านตัวแทนเฉพาะที่ท่านแต่งตั้งขึ้นมา ในยุคสมัยนี้เองบรรดาชีอะฮฺได้มีโอกาสติดต่อกับบรรดานักปราชญ์และผู้รู้ทางศาสนามากขึ้น พวกเขาทราบดีว่าแม้ว่าจะอยู่ในยุคการเร้นกายของอิมาม แต่การรู้จักหน้าที่ทางศาสนาของตนมิได้ถูกปิดกั้น สิ่งเดียวที่ขาดหายไปจากสังคมคือการได้พบกับอิมามแห่งยุคของตน

    ฉะนั้น ในบทนี้จะขออธิบายถึงคุณสมบัติของการเร้นกายทั้งสองช่วงกล่าวคือ ช่วงระยะสั้น และระยะยาว   

1. การเร้นกายระยะสั้น (ฆอยบัตซุครอ)

    ท่านอิมามฮะซันอัซการีย์ (อ.) ชะฮีดในปีฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 260 หลังจากนั้นยุคสมัยของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการเร้นกายในระยะสั้นซึ่งเรียกว่า การฆัยบัตซุครอ จนถึงปีฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 329 ซึ่งการเร้นกายระยะสั้นนี้ยาวนานประมาณ 70 ปี

    ประเด็นที่สำคัญที่สุดในยุคนี้กล่าวคือ ประชาชนได้ติดต่อกับอิมามของตนโดยผ่านตัวแทนเฉพาะที่ท่านแต่งตั้งขึ้นมา พวกเขาได้รับข่าวสาร คำตอบทางด้านกฎหมายอิสลาม และวิชาการต่าง ๆ โดยผ่านตัวแทนเหล่านั้น บางครั้งอิมามออนุญาตผ่านตัวแทนให้ชีอะฮฺบางท่านเข้าพบท่าน

    ตัวแทนเฉพาะของอิมามทุกท่านล้วนเป็นนักปราชญ์ และเป็นผู้รู้ที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านศาสนา เป็นบุคคลที่อิมามแต่งตั้งด้วยตัวเอง ซึ่งมีทั้งสิ้น 4 ท่านเรียงตามลำดับหน้าที่ ๆ ได้รับมอบหมาย ดังนี้

    1. อุสมาน บุตรของซะอีด อัมรีย์ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนอิมาม ตั้งแต่วันแรกของการเร้นกาย จนถึงปีฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 265 หลังจากนั้นท่านได้จบชีวิตลงอย่างสงบ อุสมาน เคยเป็นตัวแทนของอิมามอะลีฮาดีย์ และอิมามฮะซันอัซการีย์ (อ.) มาก่อนหน้านี้

    2. มุฮัมมัด บุตรของอุสมาน อัมรีย์ ท่านเป็นบุตรชายของตัวแทนท่านแรกของอิมาม หลังจากบิดาได้ถึงอสัญกรรม ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทน และเสียชีวิตในปีฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 305

    3. ฮุซัยน์ บุตรของรูฮ์เนาบัคตีย์ หลังจากทำหน้าที่เป็นตัวแทนอิมามนานถึง 21 ปี ท่านได้เสียชีวิตลงในปีฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 326

    4. อะลี บุตรของมุฮัมมัดซะมุรีย์ ท่านเป็นตัวแทนอิมามเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นท่านได้สิ้นชีวิตลงอย่างสงบ ช่วงนี้เองการเร้นกายในระยะยาวจึงเริ่มต้นขึ้น

    ตัวแทนเฉพาะของอิมามได้รับการแต่งตั้งโดยท่านอิมามอะลีฮาดีย์ (อ.) และอิมามฮะซันอัซการีย์ (อ.) หลังจากนั้นท่านได้แนะนำให้ประชาชนได้รับรู้ ชัยค์ฏูซีย์รายงานไว้ในหนังสือ อัลฆอยบะฮฺ ของท่านว่า อุสมาน บุตรของอัมรีย์ ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนท่านแรกของอิมาม ได้พาชีอะฮฺเข้าพบอิมามฮะซันอัซการีย์ (อ.) ในวันหนึ่งประมาณ 40 คน อิมามได้แนะนำพวกเขาให้รู้จักบุตรชายของท่าน โดยกล่าวว่า หลังจากฉัน เด็กคนนี้คืออิมามของพวกท่าน ดังนั้น จงเชื่อฟังปฏิบัติตามเขา และจงรู้ไว้เถิดว่าหลังจากวันนี้แล้ว พวกท่านจะไม่ได้พบกับเขาอีกต่อไป จนกระทั่งอายุขัยของเขาบรรลุสู่ความสมบูรณ์ ฉะนั้น ช่วงที่เขาเร้นกายอยู่พวกท่านจงยอมรับฟังคำพูดของ อุสมาน บุตรของซะอีดอัมรีย์ ทุกประการ เขาคือผู้ถือสาสน์ และเป็นตัวแทนของอิมามในหมู่พวกท่าน ภารกิจของอิมามอยู่ในความรับผิดชอบของเขา[1]

    อีกรายงานหนึ่งอิมามฮะซัน อัซการีย์ (อ.) กล่าวกับมุฮัมมัด บุตรของอุสมาน ผู้เป็นตัวแทนท่านที่สองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ชัยค์ฏูซีย์ บันทึกไว้ว่า  อุสมาน บุตรของซะอีด ได้รับคำสั่งจากอิมามฮะซันอัซการีย์ (อ.) ให้รวบรวมทรัพย์สินที่บรรดาชีอะฮฺนำมามอบให้ กลุ่มชนที่ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กล่าวกับอิมามของตนว่า ขอสาบานด้วยพระนามของพระเจ้าว่า อุสมาน คือชีอะฮฺที่ดีที่สุดของท่าน การกระทำของเขาทำให้เราทราบสถานภาพที่แท้จริงของเขา ณ ท่าน

    อิมามฮะซันอัซการีย์ (อ.) กล่าวว่า ใช่ พวกท่านจงยืนหยัดในคำพูดเถิด แท้จริง อุสมาน บุตรของซะอีด อัมรีย์ เขาเป็นตัวแทนของฉัน และบุตรชายของเขา (มุฮัมมัด) ก็เป็นตัวแทนของบุตรชายของฉัน (มะฮฺดีย์)[2]

    สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก่อนที่อิมามมะฮฺดีย์ (อ.) จะเร้นกาย และในช่วงการเร้นกายในระยะสั้นตัวแทนแต่ละท่านก่อนที่จะเสียชีวิต ได้แนะนำตัวแทนคนต่อไปตามที่อิมามได้แต่งตั้งไว้แก่ประชาชน

    บุคคลผู้มีเกีรยรติอันสูงส่งและมีคุณสมบัติต่าง ๆ พร้อมเพียงจึงมีความเหมาะสมในการเป็นตัวแทนเฉพาะของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เช่น เป็นผู้รักษาสนธิสัญญา ผดุงสิทธิของคนอื่น มีความสะอาดบริสุทธิ์ มีความยุติธรรมในคำพูดและการกระทำ มีความลับ ปฏิบัติภารกิจแบบไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน  รักษารหัสย และความเร้นลับของอะฮฺลุลบัยต์ (อ.) ไว้อย่างดี บนเงื่อนไขที่น่าวิตกกังวลพวกเขาจะรายล้อมอิมามไว้เป็นพิเศษ พวกเขาล้วนได้รับการไว้วางใจจากอิมาม และเป็นสานุศิษย์ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนตามแนวทางของอะฮฺลุลบัยต์ (อ.) ทายาทแห่งท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) บางคนจากพวกเขาได้รับการอบรมสั่งสอนจากอิมามตั้งแต่อายุ 11 ขวบ และได้มีการพัฒนาความรู้เคียงข้างความศรัทธาที่มั่นคงจนไปสู่ความสมบูรณ์ นามอันประเสริฐของพวกเขาได้รับการกล่าวขานเสมอมา ความอดทนอดกลั้นต่ออุปสรรคปัญหาและการยืนหยัดต่อความยากลำบาก เป็นคุณสมบัติพิเศษที่มีอยู่ในตัวของพวกเขาอย่างน่าประหลาดใจ ถึงแม้ว่าจะอยู่ภาวะที่คับขัน และต้องเผชิญกับความยากลำบากชนิดต้องเอาชีวิตเข้าแลก แต่พวกเขาก็ยังเชื่อฟังปฏิบัติตามอิมามได้สมบูรณ์แบบ และเคียงข้างคุณสมบัติที่สวยงามเหล่านี้พวกเขาได้แสดงความสามารถในการบริหารงาน และเป็นผู้นำชีอะฮฺได้อย่างน่าชื่นชมที่สุด พวกเขาชี้นำสังคมชีอะฮฺไปสู่หนทางอันเที่ยงธรรมด้วยความเข้าใจ ความรู้แจ้ง การรับรู้ถึงกาลเวลาอันเหมาะสม และการใช้ประโยชน์จากสิ่งเอื้ออำนวยที่มีอยู่ พวกเขาได้นำพาสังคมช่วงการเร้นกายในระยะสั้นให้ผ่านพ้นไปอย่างตลอดรอดฝั่ง

    เมื่อศึกษาช่วงการเร้นกายในระยะสั้น และบทบาทสำคัญของตัวแทนทั้งสี่ท่านในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชีอะฮฺกับอิมามอย่างละเอียดแล้ว จะเห็นว่าสิ่งนี้ได้ให้ความสำคัญและให้ชีวิตชีวาแก่ช่วงดังกล่าว ความสัมพันธ์ระหว่างอิมามกับผู้ปฏิบัติตาม ตลอดจนการเข้าพบอิมามของชีอะฮฺบางคน มีผลและเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีสำหรับบางทัศนะ ที่ไม่เชือการกำเนิดของอิมามในฐานะเป็นข้อพิสูจน์สุดท้ายของพระผู้เป็นเจ้า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ศัตรูได้โจมตีสังคมเพื่อเบี่ยงเบนความเชื่อ และสร้างความสงสัยแก่บรรดาชีอะฮฺ  ในการถือกำเนิดของบุตรอิมามฮะซันอัซการีย์ (อ.) นอกจากนี้แล้วยังถือว่าเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่การเร้นกายในระยะยาว ในช่วงนั้นบรรดาชีอะฮฺถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับอิมามอย่างสิ้นเชิงโดยกลุ่มชนที่เฉพาะเจาะจง แต่พวกเขาก็สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสงบเรียบร้อย และได้รับบะเราะกัต (ความสาริมงคล) จากอิมามในช่วงของการเร้นกาย พร้อมกับผ่านพ้นวิกฤตด้งกล่าวไปได้อย่างน่าภาคภูมิใจที่สุด

2. การเร้นกายระยะยาว (ฆอยบัตกุบรอ)

    ในช่วงบั้นปลายชีวิตของตัวแทนท่านสุดท้ายของอิมาม (อ.) อิมามได้เขียนจดหมายถึงเขามีใจความว่า

    ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปรานียิ่งเสมอ โอ้อะลี บุตรของมุฮัมมัด ซะมุีรีย์ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดความตายแก่เจ้าอันเป็นความเศร้าโศกเสียใจแก่ครอบครัวของเจ้า และบรรดาพี่น้องผู้ร่วมสายธารเดียวกับเจ้า ขอพระองค์ทรงตอบแทนรางวัลอันยิ่งใหญ่แก่เจ้า เนื่องจากเจ้าจะมีชีวิตเพียงแค่อีก 6 วันเท่านั้น ฉะนั้น ในช่วงวันที่เหลือจงตรวจสอบการงานของเจ้าให้ละเอียด และจงอย่าแต่งตั้งตัวแทนหลังจากเจ้า เนืองจากบัดนี้ถึงช่วงการเร้นกายระยะยาวแล้ว และนับจากนี้ต่อไปฉันจะไม่ปรากฏกายอีก เว้นแต่หลังจากบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งจะเกิดขึ้่นก็ต่อเมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไปอย่างยาวนาน จิตใจของประชาชนก้าวร้าว แข้งกระด้าง และแผ่นดินเต็มไปด้วยความอยุติธรรม[3]

    ด้วยเหตุนี้ เมื่อตัวแทนท่านสุดท้ายเสียชีวิตลงในปีฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 329 ช่วงการเร้นกายระยะยาวก็อุบัติขึ้นทันที  เรียกว่าการฆอยบัตกุบรอ ซึ่งการเร้นกายในช่วงนี้จะยาวนานโดยไม่มีผู้ใดทราบได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด เว้นเสียแต่พระองค์ทรงประสงค์ให้เมฆแห่งการเร้นกายเรือนหายไปจากโลก และทรงทดแทนสิ่งนั้นด้วยรัศมีแห่งวิลายะฮฺอันเป็นแสงเรืองรองที่ไม่มีวันดับสลาย

    ดังที่กล่าวไปแล้วในช่วงของการเร้นกายระยะสั้นว่า บรรดาชีอะฮฺได้รับประโยชน์และติดต่อสัมพันธ์กับอิมามของตนโดยผ่านตัวแทนเฉพาะที่ท่านแต่งตั้งขึ้นมา พวกเขารู้จักหน้าที่ของตนโดยผ่านตัวแทนเหล่านี้ แต่ในช่วงของการเร้นกายระยะยาวความสัมพันธ์ดังกล่าวจะถูกตัดขาดลง บรรดาผู้ศรัทธาสามารถรับรู้หน้าที่ทางศาสนาของตนได้โดยผ่านตัวแทนทั่วไปของอิมาม ซึ่งได้แก่บรรดานักปราชญ์และผู้รู้ทางศาสนาหรือมัรญิอ์ตักลีด (ผู้มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านกฎหมายอิสลาม) ประเด็นดังกล่าวรับรู้ได้โดยคำสั่งเสียของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ซึ่งท่านได้กำชับไว้ในจดหมายที่ส่งถึงชีอะฮฺผู้มีเกียรติคนหนึ่งของท่าน และบางตอนของจดหมายฉบันนั้น ตัวแทนท่านที่สองของอิมามได้ประกาศให้ประชาชนได้รับรู้กันอย่างถ้วนหน้า ดังมีใจความว่า

وَاَمَّا الْحَوَادِثُ الْوَقِعَةِ فَارْجِعُوْا فِيْهَا اِلَي رُوَاةِ حَدِيْثِنَا فَاِنَّهُمْ حُجَّتِي عَلَيْكُمْ وَاَنَاحُجَّةُ اللَّهِ عَلَيْهِمْ

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในอนาคต ดังนั้น จงย้อนกลับไปหาผู้รายงานฮะดีซของเรา (บรรดาฟุเกาะฮา) เนื่องจากพวกเขาเป็นข้อพิสูจน์ของฉันสำหรับพวกเ้จ้า ส่วนฉันเป็นข้อพิสูจน์ของอัลลอฮฺในหมู่พวกเขา[4]

แนวทางดังกล่าวเป็นคำตอบให้กับคำถามใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับศาสนา ที่สำคัญไปกว่านั้นเป็นการเน้นให้เห็นถึงหน้าที่ของบรรดาชีอะฮฺที่มีต่อศาสนา หน้าที่ส่วนตัว และหน้าที่ทางสังคมส่วนรวม ช่วงการเ้ร้นกายระยะยาวของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ประหนึ่งเป็นการพัฒนาระบบผู้นำและอำนาจวิลายะฮฺของอิมามัต ในสังคมชีิอะฮฺให้มีความก้าวหน้า และมีชีวิตชีวาอยู่ทุกยุคทุกสมัยบนพื้นฐานสังคมที่มีความแตกต่างกัน การชี้นำและการนำพาประชาชนไปสู่ความสมบูรณ์มีความมั่นคงและเข็มแข้งขึ้นตามลำดับ ไม่มีช่วงใดของสังคมชีอะฮฺจะปราศจากการชี้นำ หรือไม่ได้รับประโยชน์จากแหล่งวิชาการซึ่งถือได้ว่าเป็นชีวิตของสังคม ตลอดระยะเวลาพวกเขาได้รับการถ่ายทอดความรู้จากบรรดานักปราชญ์ และผู้รู้ทางศาสนาที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมความรู้ มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ด้านศาสนา มีความยำเกรง มีความยุติธรรม รักษาพันธะสัญญาของศาสนาและของประชาชนไว้อย่างเหนียวแน่น บรรดานักปราชญ์ได้ร่วมมือกันพยุงสังคมอิสลาม ฝ่าฟันคลื่นพายุที่พัดโหมกระหน่ำเข้าสาดซัดสังคมอิสลาม ทั้งด้านจริยธรรม และการเมืองภายใต้การชี้นำของบรรดาจักรวรรดินิยม ทุนนิยม และวัตถุนิยม จนทำให้ความเลื่อมใสศรัทธาของชีอะฮฺทวีความเข็มแข็งขึ้นมาเรื่อย ๆ ตราบจนถึงปัจจุบันและในอนาคตอันไกลโพ้น

อิมามอะลีฮาดีย์ (อ.) กล่าวถึงบทบาทของนักปราชญ์และผู้รู้ในช่วงของการเร้นกายระยะยาวของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ว่า มาตรว่าไม่มีผู้รู้และนักปราชญ์ภายหลังจากอิมามมะฮฺดีย์เร้นกายไปจากสังคม เชิญชวนให้ประชาชนมาสู่อิมามแห่งยุคของตน สู่เหตุผล ปกป้องศาสนาและวิชาการของอิสลาม มาตรว่าไม่มีนักปราชญ์และผู้รู้ที่ชาญฉลาดคอยช่วยเหลือ ให้ปวงบ่าวหลุดพ้นจากบ่วงของซาตานมารร้าย หรือแผนการของศัตรูแห่งวงศ์วานลูกหลานของศาสดา จะไม่มีผู้ใดหลงเหลืออยู่อีก เว้นเสียแต่พวกเขาได้เบี่ยงเบนไปจากศาสนาของพระเจ้า แต่เป็นเพราะพวกเขาต่างหากที่คอยกระตุ้นเตือนจิตใจ และความศรัทธาของประชาชนให้เข็มแข็งอยู่ตลอดเวลา ประหนึ่งสมอเรือเดินทะเลที่คอยเหนียวรั้งไม่ให้เรือแล่นไปสู่ความพินาศตามกระแสคลื่นและพายุที่โหมกระหน่ำ บรรดานักปราชญ์และผู้รู้เหล่านั้นเป็นปวงบ่าวที่ประเสริฐที่สุด ณ เอกองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) ผู้ทรงเกรียงไกร[5]

ประเด็นที่สมควรพิจารณาคือ เงื่อนไขและคุณสมบัติพิเศษที่ผู้นำสังคมพึงต้องมี เนื่องจากสังคม และประชาชนได้มอบเจตนารมณ์เสรีของตนทั้งด้านสังคมและศาสนา ไว้กับบรรดาผู้นำสังคมที่มีหน้าที่รับผิดชอบสังคม ดังนั้น บรรดาผู้นำจึงต้องมีความละเอียดอ่อน และมีความประณีตในการแสดงทัศนะ ตัดสินปัญหา หรือตัดสินใจเกี่ยวกับภารกิจที่มีความสำคัญอย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ เฉพาะบรรดามะอฺซูม (อ.) เท่านั้นที่มีคุณสมบัติดังกล่าวครบสมบูรณ์ ซึ่งท่านได้กำหนดคุณสมบัตินั้นแก่บรรดามัรญิอฺทางศาสนา และสูงไปกว่านั้นท่านได้กำหนดแก่ผู้ที่มีอำนาจวิลายะฮฺตุลฟะกีฮฺไว้ในมือ

อิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า ในหมู่นักปราชญ์และผู้รู้ทางศาสนาผู้ที่ระวังตนจากบาป (ไม่ว่าจะเป็นบาปใหญ่หรือบาปเล็กก็ตาม) รักษาศาสนา (ความเชื่อศรัทธาของตนและสังคม) เป็นปรปักษ์กับอารมณ์ต้องการของตน เชื่อฟังปฏิบัติตามคำสั่งของอิมามแห่งยุคสมัย ดังนั้น เป็นหน้าที่ของประชาชนต้องปฏิบัติตามเขา (ซึ่งนักปราชญ์ชีอะฮฺบางคนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมิใช่ทุกคน)[6]


 

[1] ฆอยบะฮฺ ฏูซีย์ ภาคที่ 6 ฮะดีซที่ 319 หน้าที่ 357

[2] ฆอยบะฮฺ ฏูซีย์ ภาคที่ 6 ฮะดีซที่ 317 หน้าที่ 355

[3] อ้างแล้ว ภาคที่ 6 ฮะดีซที่ 365 หน้า 395

[4] กะมาลุดดีน เล่มที่ 2 หมวดที่ 45 ฮะดีซที่ 3 หน้าที่ 236

[5] อัลอิฮฺติยาฏ เล่มที่ 1 ฮะดีซที่ 11 หน้าที่ 15

[6] อ้างแล้ว เล่มที่ 2 หน้าที่ 511