อิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ในทัศนะอัล-กุรอานและรายงานต่าง ๆ

            ก. อิมามมะฮฺดีย์ในทัศนะอัล-กุรอาน

อัล-กุรอานคือแหล่งที่มาสำคัญแห่งวิชาการสูงสุดของพระเจ้า เป็นวิชาการที่มีความอมตะอันเป็นความต้องการของประชาชาติมากที่สุด เป็นมหาคัมภีร์ที่มีความถูกต้องทั้งฉบับตั้งแต่ต้นจนจบ อธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ ของโลกทั้งในอดีตและอนาคตได้อย่างถูกต้องแม่นยำ มิได้ปิดบังสัจธรรมความจริงแต่อย่างใด แน่นอน เป็นที่ประจักษ์ว่าวิชาการทั้งหลายซ่อนอยู่ในโองการต่าง ๆ ของอัล-กุรอาน ผู้ที่จะได้รับวิชาการอันลุ่มลึกและสัจธรรมความจริงต่าง ๆ คือ ผู้อรรถาธิบายอัล-กุรอานที่แท้จริงซึ่งได้แก่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และิบรรดามามผู้บริสุทธิ์ (อ.)

การยืนหยัดครั้งยิ่งใหญ่เพื่อเรียกร้องสัจธรรมโดยตัวแทนของพระองค์ เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เนื่องจากอัล-กุรอานหลายโองการกล่าวถึงความจริงประการนี้ไว้ ประกอบกับรายงานอีกจำนวนมากกล่าวอธิบายโองการเหล่านั้น ซึ่งจะขอกล่าวเป็นตัวอย่างสักสองสามโองการดังต่อไปนี้

อัล-กุรอาน บทอันบิยาอ์ โองการที่ 105 กล่าวว่า

وَلَقَدْ كَتَبْنَا فِي الزَّبُورِ مِن بَعْدِ الذِّكْرِ أَنَّ الْأَرْضَ يَرِثُهَا عِبَادِيَ الصَّالِحُونَ  

แน่นอน เราได้บันทึกไว้ในคัมภีร์อัซซะบูรหลังจากอัซซิกร์ (เตารอต) ว่า แท้จริง ปวงบ่าวของเราที่ดีมีคุณธรรมจะเป็นผู้สืบมรดก (ปกครอง) แผ่นดิน

อิมามบากิร (อ.) กล่าวว่า จุดประสงค์ของปวงบ่าวที่ดีมีคุณธรรมเป็นผู้สืบทอดมรดกได้แก่ อิมามมะฮฺดีย์ (อ.) และบรรดาผู้ช่วยเหลือเขา[1]

            อัล-กุรอาน บท อัลเกาะซ็อซ โองการที่ 5 กล่าวว่า

وَنُرِيدُ أَن نَّمُنَّ عَلَى الَّذِينَ اسْتُضْعِفُوا فِي الْأَرْضِ وَنَجْعَلَهُمْ أَئِمَّةً وَنَجْعَلَهُمُ الْوَارِثِينَ  

และเราปรารถนาที่จะให้ความโปรดปรานแก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอในแผ่นดิน และเราจะทำให้พวกเขาเป็นผู้นำ (ประชาชน) และจะทำให้พวกเขาเป็นผู้สืบทอดมรดก

อิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า จุดประสงค์ของคำว่า ผู้อ่อนแอ หมายถึงครอบครัวของท่านศาสดาหลังจากความเพียรพยายามและความทุกข์ทรมานมะฮฺดีย์จะเป็นผู้ปรับปรุงแก้ไข และนำพวกเขาไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เขาจะเป็นผู้ทำให้เหล่าศัตรูพินาศล่มจมตกอยู่ในความตกต่ำ[2]

อัล-กุรอาน บทฮูด บางตอนจากโองการที่ 86 กล่าวว่า

بَقِيَّةُ اللّهِ خَيْرٌ لَّكُمْ إِن كُنتُم مُّؤْمِنِينَ

สิ่งที่เหลืออยู่ของอัลลอฮฺ ดียิ่งสำหรับพวกท่าน ถ้าพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา

อิมามบากิร (อ.) กล่าวว่า เมื่ออิมามมะฮฺดีย์ปรากฏกายออกมา ท่านจะยืนท้าวผนังกะอฺบะฮฺ และกล่าวสุนทรพจน์คือโองการข้างต้นเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นท่านจะกล่าวว่า

اَنَا بَقِيَّةُ اللَّهِ فِي الْاَرْضِهِ وَ خَلِيْفِتِهِ وَ حُجَّتِهِ عَلَيْكُمْ

ฉันคือสิ่งที่เหลืออยู่ของอัลลอฮฺบนหน้าแผ่นดิน ฉันตัวแทนของพระองค์ และฉันเป็นข้อพิสูจน์ของพระองค์ในหมู่พวกเจ้า

หลังจากนั้นทุกคนจะกล่าวสลามให้่ท่านว่า ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน โอ้ผู้ยังคงเหลืออยู่ของอัลลอฮฺบนหน้าแผ่นดิน  [3]

(اَلسَّلَامُ عَلَيْكَ يَا بَقِيَّةُ اللَّهِ فِي الْاَرْضِهِ)

                อัล-กุรอาน บทอัล-ฮะดีด โองการที่ 17 กล่าวว่า

اعْلَمُوا أَنَّ اللَّهَ يُحْيِي الْأَرْضَ بَعْدَ مَوْتِهَا قَدْ بَيَّنَّا لَكُمُ الْآيَاتِ لَعَلَّكُمْ تَعْقِلُونَ  

พึงทราบเถิดว่า แท้จริงอัลลอฮทรงให้ชีวิตชีวาแก่แผ่นดินหลังจากได้แห้งแล้ง แน่นอน เราได้สาธยายสัญญาณทั้งหลายของเราแก่สูเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญ

อิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า จุดประสงค์คือ พระเจ้าทรงให้ชีวิตชีวาแก่แผ่นดิน โดยน้ำมือของอิมามมะฮฺดีย์ ผู้สร้างความยุติธรรมปกครองโลกหลังจากท่านได้ปรากฏกายออกมา ดังนั้น ผู้กดขี่ทั้งหลายจะตายจากโลกไปอย่างผู้หลงทาง[4]

ข. อิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ใันทัศนะรายงาน

ประเด็นเกี่ยวกับอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เป็นประเด็นที่มีรายงานจำนวนมากมายกล่าวถึง ซึ่งสามารถแบ่งรายงานเป็นขั้นตอนตั้งแต่เริ่มประสูติ วัยเด็ก ช่วงการเร้นกายในระยะสั้นและระยะยาว สัญลักษณ์ของการปรากฏกาย ช่วงการปรากฏกาย และการปกครอง มีรายงานจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์กล่าวอธิบายไว้อย่างละเอียด ทั้งในเรื่องคุณสมบัติพิเศษภายนอก จริยธรรมของท่านอิมาม คุณสมบัติต่าง ๆ ในช่วงการเร้นกาย ความประเสริฐ รางวัลของผู้รอคอยการปรากฏกาย และยังมีรายงานที่มีคุณค่ายิ่งในแง่มุมอื่นอีกมากมาย แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ รายงานเหล่านี้มีบันทึกอยู่ในตำราอ้างอิงทั้งฝ่ายซุนนีย์และชีอะฮฺ ซึ่งรายงานส่วนใหญ่เป็นรายงานที่เชื่อถือได้ (มุตะวาติร)

กล่าวว่า สิ่งพิเศษเกี่ยวกับอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ที่ควรพิจารณาคือ บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ทุกท่านกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ทั้งในแง่วิชาการและในมุมมองอื่น ๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การกล่าวถึงการยืนหยัดของอิมามในยุคสุดท้าย เพื่อเรียกร้องสัจธรรมและทำให้โลกเปี่ยมล้นไปด้วยความยุติธรรม ดั่งที่โลกเคยเปี่ยมล้นด้วยความอยุติธรรมมาก่อนหน้านี้ ณ ที่นี้จึงขอนำเสนอรายงานจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และบรรดาอิมามแต่ละท่าน ดังนี้

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีแก่ผู้ที่ได้เห็นมะฮฺดีย์ ขอแสดงความยินดีแก่ผู้ที่รักมะฮฺดีย และขอแสดงความยินดีแก่ผู้เชื่อมั่นในตำแหน่งอิมามะฮฺของมะฮฺดีย์[5]

อิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า จงรอคอยการปรากฏกายของอาลิมุฮัมมัดเถิด และจงอย่าหมดหวังในเมตตาของพระเจ้า แน่นอน สิ่งที่เป็นที่รักยิ่ง ณ พระองค์คือการรอคอยการปรากฏกายของมะฮฺดีย์[6]

ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) กล่าวไว้ในลุฮูฟของท่าน[7] ว่า ดังนั้น เพื่อแผ่เมตตาแก่ประชาโลก พระองค์ได้แต่งตั้งตัวแทนของพระองค์ ซึ่งจะสมบูรณ์ด้วยการมีอยู่แห่งบุตรของฮะซันอัลอัซการีย์ (อ.) บุคคลที่ความสมบูรณ์ของมูซา ความรุ่งเรืองของอีซา และความอดทนของอัยยูบอยู่ในตัว[8]

อิมามฮะซันมุจตะบา (อ.) กล่าวในรายงานหนึ่ง หลังจากกล่าวถึงปัญหาบางประการหลังจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จากไปว่า พระเจ้าทรงให้ชายคนหนึ่งปรากฏออกมาในยุคสุดท้าย พระองค์จะสนับสนุนเขาด้วยเหล่าบรรดามลาอิกะฮฺของพระองค์ พระองค์จะปกป้องมวลมิตรสหายของเขา พระองค์จะให้เขาสร้างความประหลาดใจแก่ประชาโลกทั้งหลาย เขาจะทำให้โลกเปี่ยมล้นด้วยความยุติธรรมและเหตุผลที่แจ่มแจ้ง ขอแสดงความยินดีต่อผู้ที่ได้อยู่ในยุคของเขาและได้ฟังสุนทรพจน์จากเขา[9]

อิมามฮุซัยนฺ (อ.) กล่าวว่า พระเจ้าทรงให้ชีวิตชีวาแก่โลกโดยผ่านมะฮฺดีย์ หลังจากที่แห้งแล้งมาอย่างยาวนาน พระองค์จะให้เขาประกาศศาสนาอันเที่ยงธรรมให้มีชัยเหนือศาสนาทั้งหลายบนโลก แม้ว่ามวลผู้ปฏิเสธจะไม่ปรารถนาก็ตาม เขาจะเร้นกายซึ่งเป็นเหตุให้คนกลุ่มหนึ่งหันเหออกจากศาสนา และอีกกลุ่มหนึ่งยึดมั่นต่อศาสนาอย่างมั่นคง .... ดังนั้น ผู้อยู่ในช่วงการเร้นกายถ้าต่อสู้กับอธรรมการกดขี่ และความมุสาทั้งหลายบนโลก ประหนึ่งเขาได้จับดาบญิฮาดในสมัยของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)[10]

อิมามซัจญาด (อ.) กล่าวว่า บุคคลที่ยึดมั่นในความรักที่มีต่อเราในยุคการเร้นกายของมะฮฺดีย์ พระเจ้าจะประทานรางวัล 1,000 ชะฮีดจากสงครามอุฮุดและสงครามบัรด์แก่เขา[11]

อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) กล่าวว่า ช่วงเวลาหนึ่งจะมาถึงประชาชาติ ซึ่งอิมามของเขาจะเร้นกาย ดังนั้น ขอแสดงความยินดีกับบุคคลที่ยึดมั่นในวิลายะฮฺของเราในช่วงการเร้นกายของเขา[12]

อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวว่า สำหรับกออิมจะมีการเร้นกาย 2 ครั้งกล่าวคือ ระยะสั้นและระยะยาว [13]

อิมามมูซากาซิม (อ.) กล่าวว่า อิมามมะฮฺดีย์จะเร้นกายหายไปจากสายตาของประชาชน แต่หัวใจของมวลผู้ศรัทธาจะไม่มีวันลืมเลือนท่าน[14]

อิมามอะลีริฎอ (อ.) กล่าวว่า เมื่ออิมามมะฮฺดีย์ลุกขึ้นยืนหยัด แผ่นดินจะสว่างไสวไปด้วยรัศมี (การมีอยู่) ของท่าน อิมามจะสร้างความยุติธรรมในหมู่ประชาชน และโลกจะเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม ดังนั้น จะไม่มีผู้ใดบนโลกกดขี่กันและกัน[15]

อิมามมุฮัมมัด ญะวาด (อ.) กล่าวว่า กออิมของเราคือผู้ที่ประชาชนต่างรอคอยการปรากฏกายของเขาในช่วงที่เขาเร้นกาย และเมื่อเขายืนหยัดต่อสู้ทุกคนจะต่อสู้ตามคำสั่งของเขา[16]

อิมามอะลีฮาดีย์ (อ.) กล่าวว่า อิมามหลังจากฉันคือฮะซันบุตรของฉัน และอิมามหลังจากเขาคือ กออิมบุตรชายของเขาผู้ที่จะทำให้โลกเปี่ยมล้นไปด้วยความยุติธรรม ดั่งที่โลกเปี่ยมล้นด้วยความอยุติธรรม[17]

อิมามฮะซันอัซการีย์ (อ.) กล่าวว่า ขอขอบคุณพระเจ้าที่มิได้ให้เราจากโลกไปจนกระทั่งพระองค์ได้แสดงผู้แทนของเรา ให้เราเห็นเขาเป็นผู้มีความคล้ายเหมือนท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ทั้งหน้าตาและกริยามารยาท[18]

อิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ในทัศนะอื่น

ความยินดีที่ประเสริฐสุดคือ คำเรียกร้องที่ผู้อื่นกล่าวถึงความเป็นหนึ่งในวจนะของผู้อื่น
ประเด็นเรื่องอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) การยืนหยัดและการเปลี่ยนแปลงโลกของท่าน มิได้มีกล่าวไ้ว้ในตำราของชีอะฮฺเท่านั้น ทว่าในความเชื่อ และตำราของมุสลิมนิกายอื่นก็มีการบันทึกไว้อย่างกว้างขวางเช่นกัน พวกเขาต่างเชื่อการมีอยู่ และการปรากฏกายของมะฮฺดีย์ หลานของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) บุตรของฟาฏิมะฮฺ (อ.) วิธีการเปิดเผยความเชื่อของซุนนีย์ที่มีต่อการปรากฏกายของอิมามมะฮฺดีย์ที่ดีที่สุดคือ การนำเสนอผลงานของนักวิชาการที่มีชื่อเสียงของเขา ซึ่งจะเห็นได้ว่าบรรดานักอรรถาธิบายอัล-กุรอานที่มีชื่อเสียงฝ่ายซุนนีย์อธิบายไว้อย่างตรงไปตรงมาถึงบางโองการว่า หมายถึงการปรากฏกายของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ในยุคสุดท้ายของโลก เช่น ท่านฟัครุรรอซีย์ ท่านกุรฏุุบีย์

ทำนองเดียวกันนักรายงานฮะดีซจำนวนไม่น้อยได้บันทึกฮะดีซเกี่ยวกับอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ไว้ในตำราของตน ซึ่งเป็นตำราที่มีชื่อเสียงและได้รับการเชื่อถือในหมู่พวกเขา เช่น ซิฮาฮุซิตตะฮฺ หรือมุซนัดอะฮฺมัด ฮันบัลผู้นำนิกายฮะนะฟีย์

นักวิชาการบางท่านของฝ่ายซุนนีย์ทั้งในอดีต และปัจจุบันมีการบันทึกรายงานเกี่ยวกับอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) แยกต่างหาก เช่น อบูนะอีม เอซฟาฮานีย์ บันทึกไว้ในมัจญ์มูอะตุลอัรบะอีน (40 ฮะดีซ) ท่านซุยูฏีย์ บันทึกไว้ใน อัลอุรฟุลวัรดี ฟี อัคบาริลมะฮฺดีย์

ประเด็นที่ควรพิจารณาคือ มีนักวิชาการบางท่านของฝ่ายซุนนีย์เขียนบทความและตำราปกป้องพร้อมกับปฏิเสธแนวความเชื่อที่ปฏิเสธเรื่องราวเกี่ยวกับอิมามมะฮฺดีย์ เป็นตำราที่อ้างอิงเหตุผลทางวิชาการ และรายงานฮะดีซที่กล่าวถึงเรื่องราวของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ไว้อย่างชัดเจน โดยกล่าวว่า เรื่องราวของอิมามมะฮฺดีย์เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เช่น มุฮัมมัดซิดดีก มัฆริบบีย์ เขียนตำราหักล้างเหตุผลของอิบนิคอลดูน เป็นตำราที่เขียนขึ้นโดยใช้เหตุผล และคำ้ท้วงติงที่หนักหน่วงยิ่ง

เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ฝ่ายซุนนีย์กล่าวถึงประเด็นของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.)

ในตอนท้ายของบทนี้ขอนำเสนอรายงานสักสองสามรายงาน จากรายงานจำนวนนับร้อยรายงานที่ซุนนีย์กล่าวถึงเรื่องราวของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ซึ่งรายงานเหล่านี้ล้วนบันทึกอยู่ในตำราที่มีชื่อเสียงและได้รับการเชื่อถือจากฝ่ายซุนนีย์ เช่น

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า ถ้าแม้ว่าโลกจะมีชีวิตเหลือแค่เพียงวันเดียว อัลลอฮฺจะทรงให้วันนั้นยาวนานออกไปจนกระทั่งมีชายคนหนึ่งจากครอบครัวของฉันยืนหยัดขึ้น ซึ่งชื่อของเขาตรงกับชื่อของฉัน

อีกรายงานหนึ่งท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า จะมีชายคนหนึ่งจากครอบครัวของฉันยืนหยัดขึ้น ชื่อและหน้าตาของเขาจะเหมือนกับฉัน เขาจะทำให้โลกเปี่ยมไปด้วยยุติธรรม ดั่งที่โลกเคยถูกปกครองด้วยความอยุติธรรม

กล่าวว่าความเชื่อเรื่องการปรากฏกายและการปรับปรุงโลกในยุคสุดท้าย การสถาปนาความยุติธรรมขึ้นปกครองโลกกลายเป็นความเชื่อสากลและเป็นของทุกศาสนาไปโดยปริยาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาศาสนิกแห่งศาสนาแห่งฟากฟ้า ต่างรอคอยการยืนหยัดของมะฮฺดีย์ ตามความเชื่อที่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของตนได้สอนไว้ ดังเช่น คัมภีร์ซะบูร เตารอต อินญีล คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู และโซโรอัสเตอร์ คัมภีร์เหล่านี้กล่าวถึงการปรากฏกายและการปรับปรุงสังคมของผู้ที่จะมาปลดปล่อยโลกให้มีอิสรภาพ แน่นอน ทุกประชาชาติต่างเรียกฉายานามเฉพาะตามสำเนียงภาษาของตน เช่น ศาสนาโซโรอัสเตอร์เรียกอิมามมะฮฺดีย์ว่า ซูชิยานิซ หมายถึง ผู้ช่วยเหลือหรือผู้ให้การปลดปล่อยโลก คริสเตียนเรียกท่านว่า มะซีฮฺเมาอูด ส่วนยะฮูดีย์เรียกท่านว่า ซะรูรมีกาอีล

คำพูดบางตอนจากคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์กล่าวว่า

ศาสดาแห่งอาหรับเป็นศาสดาองค์สุดท้ายแห่งบรรดาศาสดาทั้งหลาย ท่านจะปรากฏกายระหว่างเทือกเขาในนครมักกะฮฺ ท่านจะรับประทานเหมือนกับประชาชนรับประทาน นั่งเหมือนกับประชาชนนั่ง ศาสนาของเขาเป็นศาสนาที่ประเสริฐที่สุด คัมภีร์ของเขาเป็นคัมภีร์ที่หักล้างคัมภีร์ทั้งหลาย....จากบุตรชายของฟาฏิมะฮฺบุตรีแห่งศาสนทูต เขามีนามว่าดวงอาทิตย์แห่งโลก หรือเ้จ้าชายแห่งกาลเวลา และบุคคลที่ได้รับฉายานามว่าเจ้าชายเขาจะได้รับอนุญาตจากพระเจ้าให้เป็นตัวแทนแห่งศาสดาองค์สุดท้าย.... การปกครองของเขาจะยาวนานจนถึงวันสุดท้ายของโลก


 


[1] ตัฟซีรกุมมี เล่ม 2 หน้า 52 

[2] ฆัยบัต ฏูซีย์ ฮะดีซที่ 143 หน้า 184

[3] กะมาลุดดีน เล่ม 1 หมวดที่ 32 ฮะดีซที่  17 หน้าที่ 603

[4] ฆัยบัตนุอ์มานีย์ หน้าที่ 32

[5] บิฮารุลอันวาร เล่มที่ 52 หน้าที่ 309

[6] เล่มเดิม หน้าที่ 123

[7] ในรายงานดังกล่าว ๆ ว่า ญาบิรอันซอรีย์ กล่าวว่า ในสมัยของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เราได้ไปที่บ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) เพื่อกล่าวแสดงความยินดีเนื่องจากการประสูติของท่านอิมามฮุซัยน์ (อ.) ที่ประตูหน้าบ้านของท่านหญิงเราเห็นซุฮูฟสีเขียวฉบับหนึ่ง ซึ่งบันทึกนั้นเปล่งรัศมีประดุจดังแสงอาทิตย์ เราถามว่าซูฮูฟนี้คืออะไร ท่านหญิงกล่าวว่า เป็นของขวัญที่พระเจ้าทรงมอบแด่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ซึ่งภายในได้บันทึกนามของบิดาของฉัน สามีของฉัน บุตรชายทั้งสองของฉัน และนามของตัวแทนของบุตชายของฉัน ท่านศษสดา (ซ็อล ฯ) ได้มอบซุฮูฟนี้แก่ฉันเพื่อให้ฉันมีความสุข

[8] กะมาลุดดีน เเล่ม 1 หมวดที่ 28 ฮะดีซที่ 1 หน้าที่ 569

[9] อิฮฺติยาฏ เล่ม 2 หน้าที่ 70

[10] กะมาลุดดีน เล่มที่ 1 หมวดที่ 30 ฮะดีซที่ 3 หน้าที่ 584

[11] อ้างแล้ว  เล่มที่ 1 หมวดที่ 31 หน้าที่ 592

[12] อ้างแล้ว เล่มที่ 1 หมวดที่ 32 ฮะดีซที่ 15 หน้าที่ 602

[13] ฆัยบัตนุอ์มานีย์ หมวดที่ 10  บทที่ 4 ฮะดีซที่ 5 หน้าที่ 176

[14] อ้างแล้ว เล่มเดิม หมวดที่ 34 ฮะดีซที่ 6 หน้าที่ 57

[15] อ้างแล้วเล่มเดิม หมวดที่ 35 ฮะดีซที่ 5 หน้าที่ 60

[16] อ้างแล้วเล่มเดิม หมวดที่ 36 ฮะดีซที่ 1 หน้าที่ 70

[17] อ้างแล้วเล่มเดิม หมวดที่ 37 อะดีซที่ 10 หน้าที่ 79

[18] อ้างแล้วเล่มเดิม หมวดที่ 38 อะดีซที่ 7 หน้าที่ 118