บทเรียนต่างๆ ในการต่อสู้

สร้างความหวังและกำลังใจแก่เหล่าทหาร (โดยการรำลึกถึงอิมามมะฮฺดีย)

ในวันอาชูรอท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวสุนทรพจน์โดยอ้างคำพูดของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ที่กล่าวถึงการยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) และการจัดตั้งรัฐบาลที่ยุติธรรมขึ้นปกครองโลก ปัญการการรัจอะฮฺ (การย้อนกลับ) ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้ให้บทเรียนแก่ผู้บัญชาการในสนามรบทั้งหลายว่า เมื่อถึงยามคับขันจงสร้างขวัญและกำลังใจแก่นักรบของเขา ซึ่งการกล่าวถึงการยืนหยัดของท่านอิมามมะฮฺดียฺนั้น จะทำให้หัวใจทุกดวงอิ่มเอิบและเบิกบาน[1]

การตรวจสอบภารกิจของกองคาราวาน

หนึ่งในบทเรียนสำคัญของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คือ การตรวจสอบกองคาราวาน ซึ่งในตอนคืนของวันอาชูรอท่านอิมาม (อ.) ได้รับข่าวว่า บุตรของสาวกคนหนึ่งของท่านนามว่า มุฮัมมัด บุตรของบะชัร ฏัรเราะมียฺ ซึ่งเป็นสหายคนหนึ่งของท่านอิมาม ได้ถูกจับเป็นเชลยแถบเมืองเรย์ ท่านอิมาม (อ.) จึงได้ถอดถอนสัตยาบันจากเขา เพื่อให้เขาไปช่วยเหลือบุตรชายของตนแต่เขาปฏิเสธ หลังจากนั้นท่านอิมามได้มอบผ้าแพรราคาแพง 5 ผืนราคาประมาณ 1000 ดินาร แก่เขาเพื่อให้เขามอบให้กับบุตรชายอีกคนหนึ่ง และให้บุตรคนดังกล่าวนำเอาผ้าแพรไปถ่ายตัวพี่ชายของเขาให้เป็นอิสระ[2]

การใส่ใจต่อเด็กและเยาวชนในสนามรบ

การกระทำของท่านอิมาม (อ.) ในกิจกรรมดังกล่าวถือว่าเป็นแบบอย่างอันดีงามสำหรับทุกคน ดังนั้น จะขอหยิบยกตัวอย่างสักสองสามตัวอย่างดังต่อไปนี้

1 เงื่อนในกองคาราวานของท่านอิมาม (อ.) คือ การร่วมร่วมรบของบรรดาเยาวชนและบุตรหลานของบรรดาชุฮะดาจะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองเสียก่อน

ได้มีเยาวชนคนหนึ่งบิดาของเขาได้ชะฮีดในสงคราม ชือว่า อุมัร บุตรของญุนาดะฮฺ อันซอรียฺ เมื่อเขาขออนุญาตออกไปรบ ท่านอิมามฮุซัยนฺได้กล่าวว่า

هذا شباب قتل ابوه فی المعرکة ولعل امه تکره خروجه

 فقال الشباب : امی امرتنی بذلک

 

นี่คือเด็กหนุ่มซึ่งบิดาของเขาได้ชะฮีดในสงคราม บางทีมารของเขาอาจไม่ยินยอมให้เขาเข้าร่วมรบ

เขาตอบว่า มารดาของฉันได้กำชับฉันว่าให้เข้าร่วมรบ[3]

หลังจากนั้น เด็กคนดังกล่าวได้มุ่งตรงไปสู่สนามรบและชะฮีดในเวลาต่อมา

2 เมื่อท่านกอซิมบุตรของท่านอิมามฮะซัน (อ.) ได้ขออนุญาตท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) เพื่อไปออกรบ แต่ท่านอิมาม (อ.) มิได้อนุญาตเนื่องจากกอซิมยังเป็นเด็กและยังไม่บรรลุภาวะตามศาสนบัญญัติ เมื่อท่านอิมามเห็นหน้าเขาได้หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความสงสาร ทว่ากอซิมได้อ้อนวอนท่านอิมาม (อ.) เขาได้จูบมือและเท้าของท่านเพื่ออ้อนวอนออกไปรบ สุดท้ายท่านอิมาม (อ.) อนุญาตแก่เขา กอซิมได้ต่อสู้ในสนามรบอย่างองอาจสมเป็นชายชาติทหารแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) [4]

จากเรื่องราวดังกล่าวทำให้ได้รับประเด็นสำคัญ 2 ประการกล่าวคือ

ประเด็นที่หนึ่ง การออกรบของเด็กและเยาวชนเป็นสิ่งที่อิมามฮุซัยนฺ (อ.) ไม่พึงปรารถนา

ประการที่สอง การยินยอมของผู้ปกครองมีผลต่อการอนุญาตของท่านอิมาม (อ.)

ท่านอิมาม (อ.) ได้ให้เด็กๆ นั้นอยู่ไกลจากสนามรบ

สำหรับตัวอย่างข้างต้นเมื่อท่านอับดุลลอฮฺ บุตรของท่านอิมามฮะซัน (อ.) ซึ่งยังเป็นเด็กอยู่ยังไม่มีหนวดเคราขึ้นบนใบหน้า เขาได้เข้ามาสู่สนามรบและอยู่เคียงข้างท่านอิมาม (อ.) ท่านหญิงซัยนับได้วิ่งตามออกมา ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวแก่น้องสาวสุดที่รักของท่านว่า โอ้ น้องรักจงนำเขาออกไปเถิด ซึ่งสภาพดังกล่าวนั้น อับดุลลอฮฺ ได้ขัดขวางอย่างรุนแรง และกล่าวว่า ฉันขอสาบานด้วยพระนามแห่งพระเจ้าว่าฉันจะไม่แยกออกจากอาของฉันอย่างเด็ดขาด[5]

การปกป้องความลับของกองคาราวาน

ตลอดระยะเวลาที่ท่านอิมาม (อ.) ได้ยืนหยัดต่อสู้ในวันอาชูรอ ท่านได้เน้นสำทับเรื่องการปกป้องความลับของกองคาราวาน เนื่องจากท่านเกรงว่าบรรดาศัตรูจะนำไปใช้ประโยชน์ในทางที่ผิด ซึ่งจะขอกล่าวบางประเด็นดังต่อไปนี้

1 ท่านอิมาม (อ.) ได้แจ้งเป้าหมายในการเดินทางไปยังกูฟะฮฺแก่สหายบางคนเท่านั้น โดยที่ท่านมิได้แจ้งแก่อีกหลายๆ คน เมื่อออกเดินมุ่งหน้าไปยังเป้าหมาย หลายต่อหลายคนได้ถามเป้าหมายที่จะเดินทางไป แต่ท่านอิมาม (อ.) นิ่งเงียบมิได้ตอบอะไร

ท่านอิมาม (อ.) ได้ตอบอิบนุอับบาส ซึ่งเราได้ท้วงติงว่าอย่าเดินทางไปอีรักเลย ท่านอิมาม (อ.) ได้ตอบแก่เขาว่า ฉันขอวิงวอนคุณงามความดีต่ออัลลอฮฺ ฉันทราบดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า[6]

อิมาม (อ.) ได้ตอบคำถามแก่บุตรของซุเบรว่า ในความคิดของข้า ข้าได้คิดอ่านการเดินทางไปกูฟะฮฺในก่อนหน้านี้แล้ว แต่ท่านอิมาม (อ.) มิได้อธิบายจุดประสงค์ของท่าน[7]

2 เมื่อเหล่าสตรีของอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ทราบข่าวว่าท่านอิมามจะเดินทางออกจากมะดีนะฮฺ  อิมามได้ขอร้องให้พวกนางสาบานว่า จะแพร่งพรายข่าวการเดินทางออกไป ถ้าหากข่าวได้แพร่งพรายออกไปเท่ากับว่าพวกเธอได้ฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮฺ และเราะซูล[8]

3 ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวถึงการเป็นชะฮีดของท่านแก่บางคน เช่น มุฮัมมัด ฮะนะฟียฺ (ซึ่งจากท่านได้นอนหลับและฝันไป หรือท่านศาสดาเคยแจ้งข่าวไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว)[9]

แต่ท่านอิมาม (อ.) มิได้แจ้งข่าวแก่ตัวแทนของอุมะริบสะอัด และผู้ปกครองนครมักกะฮฺ เมื่อพวกเขาได้ถามข่าวคร่าวๆ เกี่ยวกับความฝันของท่านอิมาม ซึ่งท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า ข้าจะไม่บอกสิ่งใดแด่พวกเจ้า และข้าจะไม่พูดจนกว่าข้าจะได้พบกับพระเจ้าของข้า

ในจดหมายที่ท่านเขียนถึงอับดุลลอฮฺ บุตรของญะอฺฟัร ซึ่งได้เขียนถึงความฝันของท่านและคำสั่งเสียของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ที่กล่าวไว้อย่างคลุมเครือแต่ท่านก็มิได้อธิบายสิ่งใดนอกเหนือไปจากนั้น[10] เนื่องจากท่านเกรงว่าจดหมายนั้นอาจจะตกไปถึงมือของศัตรู

อิมามฮุซัยนฺ (อ.) ใช้คำขวัญขณะอยู่ในสนามรบ

หนึ่งในบทเรียนสำคัญของท่านอิมาม (อ.) คือ การส่งเสริมและให้กำลังใจแก่เหล่าสหาย และการทำให้จิตใจของเหล่าศัตรูอ่อนแอ ท่านได้ใช้ประโยชน์จากบทกวีและคำกลอน ซึ่งจะขอกล่าวพอสังเขปดังนี้

1 ในรายงานของท่านอิมาม ญะอฺฟัรซอดิก (อ.) กล่าวว่า ในทุกๆ สงครามจะมีคำขวัญเสมอ เช่น ในสงครามบัดรฺ มีคำขวัญว่า (یانصر الله اقترب اقترب)

ในสงครามอุฮุดมีคำขวัญว่า (یانصر الله اقترب)

ในสงครามตะบูกมีคำขวัญว่า (یا احمد یاصمد)

ส่วนคำขวัญของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) คือ ยามุฮัมมัด ซึ่งถือว่าเป็นนิยามโดยทั่วไปของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ [11]

2 เมื่อท่านอิมาม (อ.) ได้ร้องเรียกสหายของท่าน พวกเขาจะตอบว่า  ลับบัยกฺ[12]

3 สหายและอะฮฺลุลบัยตฺบางคนของท่านอิมาม เมื่อออกสู่สนามรบเพื่อต่อสู้กับศัตรูพวกเขาได้กล่าวคำขวัญบางประการ[13]

แน่นอน เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า การใช้ประโยชน์จากคำขวัญเท่ากับเป็นการให้กำลังใจแก่เหล่าทหาร และเป็นการสร้างความหวาดกลัวแก่เหล่าศัตรู อีกทั้งยังเป็นรหัสในการออกรบอีกต่างหาก

การให้ความสำคัญต่อความสะอาด อิบาดะฮฺ และความเป็นระเบียบ

หนึ่งในอีกบทเรียนแห่งการต่อสู้ในวันอาชูรอคือ การให้ความสนใจต่อความสะอาด และการอิบาดะฮฺของกองคาราวาน ตัวอย่างเช่น ในค่ำของวันอาชูรอท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวแก่สหายของท่านว่า

قوموا فاشربوا من الماء یکن آخر زادکم وتوضأوا واغتسلوا و اغسلوا ثیابکم لتکون اکفانکم

จงลุกขึ้นเถิด จงดื่มน้ำเป็นครั้งสุดท้าย จงวุฎูอฺ และทำความสะอาดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เพื่อให้เสื้อผ้าเป็นกะฟั่นสำหรับพวกเจ้า[14]

การยืนหยัดต่อการตัดสินใจ

ประเด็นดังกล่าวนี้จะขออธิบายในบทเรียนด้านจริยธรรมส่วนตัวของท่านอิมาม (อ.)



[1] เมาซูอะฮฺ หน้า 43 บิฮารุลอันวาร เล่ม 45 หน้า 80 เล่ม 53 หน้า 61 อัลเคาะรอญิอฺวัลญะรออิฮฺ เล่ม 2 หน้า 848
[2] เมาซูอะฮฺ หน้า 403
[3] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 458
[4] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 464
[5] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 507 เล่ามาจากอัลเอรชาด และตารีคฏ็อบรีย
[6]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 319
[7] อ้างแล้วเล่มเดิม
[8]  เมาซูอะฮฺ หน้า 329
[9] บิอารุลอันวาร เล่ม 45 หน้า 88 กามิลซิยาเราะฮฺ หน้า 96 อะอฺยานุลชีอะฮฺ เล่ม 1 หน้า 588 เล่ามาจากเมาซูอะฮฺ หน้า 295
[10] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 331
[11] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 497 เล่ามาจาก มะอาลี อัซซิฏฏัยนฺ
[12] อ้างแล้ว หน้า 446
[13] บิฮารุลอันวาร เล่ม 44 หน้า 320, 321
[14] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 317 เมาซูอะฮฺ หน้า 406