บทเรียนต่างๆ ในวิถีการต่อสู้

 การโฆษณาเพื่อสร้างความอ่อนแอแก่ฝ่ายศัตรู

1 ท่านอิมาม (อ.) และเหล่าสหายของท่านได้กล่าวสุนทรพจน์หลายต่อหลายครั้งแก่เหล่าทหารของฝ่ายศัตรู[1] จนกระทั่งว่าได้ขออนุญาตจากท่านเพื่อสรรหาเหตุผลมากล่าวอ้างกับฝ่ายศัตรู การกระทำดังกล่าวได้ดำเนินไปต่อไปจนถึงขั้นที่ว่ามีบางคนกล่าวว่า ทหารฝ่ายตรงข้ามกำลังแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบ ดังเช่น บุคคลที่ฟังสุนทรพจน์ของซุเฮร ขณะที่ซุเฮรกำลังกล่าวสุนทรพจน์อยู่นั้นเขาได้ยิงธนูโต้ตอบกลับมา[2]

2 การใช้ประโยชน์จากบทกวีเพื่อกล่าวประณามศัตรู[3] ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสือการเผยแผ่ของท่านอิมาม (อ.) ในวันอาชูรูท่านอิมาม (อ.) และสหายของท่านได้ใช้วิธีกล่าวบทกวีเพื่อทำลายขวัญและกำลังใจของทหารฝ่ายศัตรู[4] ซึ่งจะขอกล่าวอธิบายในบทต่อไป

3 ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) กล่าวขู่คุกคามฝ่ายศัตรูด้วยพลังทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวท่าน เช่น เมื่อฮุรกล่าวขู่ความตายต่อท่านอิมาม (อ.) ท่านอิ[5]มามได้โต้ตอบด้วยกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวท่าน ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า มันมิใช่เกียรติยศคนอย่างข้าที่จะกลัวความตาย เจ้าสามารถสังหารข้าได้แต่ตัว แต่เจ้าไม่มีวันทำลายเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ และฐานันดรอันสูงศักดิ์ของข้าให้สิ้นไปได้หรอก[6]

ท่านอิมาม (อ.) ได้เริ่มเผชิญหน้ากับศัตรูด้วยความเด็ดเดี่ยวตั้งแต่แรก และได้เรียกร้องให้พวกเขาออกมาต่อสู้ เช่น ครั้งเมื่อท่านเผชิญหน้ากับกองทหารของฮูร ท่านได้กล่าวกับฮูรว่า ข้าจะไม่ยอมปฏิบัติตามเจ้าอย่างเด็ดขาด แม้ว่าข้าจะถูกสังหารก็ตาม

เช่นเดียวกันเมื่อกองคาราวานของท่านได้เผชิญหน้ากับการต่อสู้ ท่านอิมาม (อ.) ได้เรียกร้องกับฮูรว่า ให้กองคาราวานของท่านกับกองทหารของฮูรมาเผชิญหน้ากัน แต่ฮูรกล่าวปฏิเสธว่า ข้ามิได้รับมอบหมายให้มาทำสงคราม (ท่านอิมามมิได้เป็นผู้ก่อสงครามก่อน เนื่องจากไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์จารึกว่าท่านเป็นผู้เริ่มสงครามก่อน)[7]

อิมามฮุซัยนฺ (อ.) มิได้เป็นผู้ก่อสงคราม

สิ่งนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ดังตัวอย่าง เช่น เมื่อท่านอิมามเดินทางมาถึงกัรบะลาอฺ ในวันพุธที่ 2 ของเดือนมุฮัรรอม ปี ฮ.ศ. ที่ 61 ท่านได้เผชิญกับกองทหารของฮูรที่มีทหารจำนวน 1000 คน ซุเฮรบุตรของเกน กล่าวกับท่านอิมามว่า ตอนนี้เราสามารถเผชิญหน้าได้อย่างสบาย ถ้าเราไม่รีบจัดการเสียแต่ตอนนี้ต่อไปข้างหน้าเราจะประสบปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน (เนืองจากฮูรมีกองกำลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น) ซึ่งหลังจากนั้นอิบนุซิยาดต้องเพิ่มกองกำลังขึ้นเป็นทวีคูณ ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า

ماکنت لأبد آهم بالقتال

ข้า จะไม่เริ่มก่อสงครามกับพวกเขาอย่างเด็ดขาด[8]  (เนื่องจากหน้าที่ของอิมามคือ การชี้นำ ซึ่งสงครามเป็นมาตรการขั้นสุดท้าย)

ในกรณีหนึ่งเมื่อมุสลิม บุตรของเอาสะญะฮฺ ต้องการยิงธนูเข้าใส่ ชิมรฺ ท่านอิมามกล่าวว่า อย่ายิงเขา ข้าไม่ปรารถนาเป็นผู้ก่อสงครามก่อน[9] (لاترمه فانی اکره ان أبد أهم)

การขัดขวางการเสียขวัญกำลังใจความอ่อนแอ และการปกป้องสาวก

หนึ่งในบทเรียนสำคัญในการยืนหยัดแห่งอาชูรอคือ การรักษากำลังใจของเหล่าทหารและการปกป้องพวกเขา ซึ่งท่านอิมาม (อ.) ได้ให้ความสำคัญต่อประเด็นดังกล่าวอย่างยิ่ง

1 ป้องกันมิให้มีการต่อล้อต่อเถียง

ในเช้าวันอาชูรอเมื่อท่านอะลีอักบัรได้ออกไปสู่สนามรบและไดชะฮีดในเวลาต่อมา ท่านหญิงซัยนับได้วิ่งไปสู่กลุ่มชนที่สังหารท่านอะลีอักบัร แต่ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ได้คว้าข้อมือนางเอาไว้แล้วพากลับไปยังค่ายที่พัก

ทำนองเดียวกันเกิดเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้หลายครั้ง กล่าวคือ เมื่อพวกเขามองดูอิมามพวกเขาต่างร่ำไห้เสียใจ ขณะที่พวกเขาได้พยายามปกปิดมิให้มีเสียงดังแพร่งพรายออกมา[10] ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจเป็นเพราะไม่ต้องการให้ศัตรูใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอ อันเป็นเหตุทำให้ขวัญและกำลังใจของเหล่าบรรดาสาวกสูญเสียไป

2 การปกป้องกลุ่มชนที่ได้มาสวามิภักดิ์กับท่านอิมาม (อ.)

เมื่อชายสี่คนจากกูฟะฮฺได้มาสมทบกับท่านอิมาม (อ.) ณ สถานที่แห่งหนึ่งนามว่า อะซีบุลฮะญานาต ฮูรได้ก้าวออกมาข้างหน้าแล้วกล่าวว่า พวกเขาเป็นชาวกูฟะฮฺ พวกเขามิใช่ผู้ช่วยเหลือท่าน โปรดส่งพวกเขามาให้ฉันเพื่อจะได้นำตัวไปคุมขัง หรือไม่ท่านก็ต้องส่งพวกเขากลับไปยังกูฟะฮฺ ท่านอิมาม (อ.) ได้ปกป้องเหล่าสหายของท่านอย่างเต็มกำลังความสามารถ และกล่าวว่า ข้าขอปกป้องพวกเขาดุจดังเช่นที่ข้าปกป้องชีวิตของข้าเอง พวกเขาคือสหายผู้ช่วยข้า

หลังจากนั้นฮูรยอมรับและถอยห่างออกไป[11]

การสืบเสาะหาข่าว

หนึ่งในปัญหาสำคัญสำหรับเหล่าทหารที่อยู่ในสนามรบคือ การสืบเสาะหาข้อมูลจากฝ่ายศัตรูเพื่อรายงานให้ผู้บัญชาการทราบข่าวการเคลื่อนไหวและแผนการของฝ่ายศัตรูตลอดเวลา เพื่อจะได้ศึกษาจุดอ่อนและเตรียมแผนการป้องกันต่อไป หรืออย่างน้อยสุดเพื่อเข้าใจเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของพวกเขา เพื่อจะได้แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบได้ทันท่วงที ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการป้องกันการใช้เล่ห์เพทุบายของศัตรู หรือสร้างความพ่ายแพ้แก่ฝ่ายตรงข้าม ท่านอิมาม (อ.) ท่านใช้วิธีการต่างๆ เพื่อที่จะสืบเสาะหาข่าวจากฝ่ายตรงข้าม และความเคลื่อนไหวของพวกเขา แม้กระทั่งการตัดสินใจส่งผู้ไปวิเคราะห์ข้อมูลฝ่ายศัตรูท่านก็ได้กระทำมาแล้ว เช่น

1 การสืบเสาะหาข่าวจากหมู่มวลมิตร

ครั้นเมื่อท่านอิมามฮุซัยน (อ.) ได้กล่าวอำลามุฮัมมัดฮะนีฟีย์น้องชายของท่านเมื่ออยู่ในมะดีนะฮฺ ท่านได้ขอร้องเขาว่า ให้เขาช่วยรายงานความเคลื่อนไหวในนครมะดีนะฮฺ หรือเป็นหูเป็นตาแทนท่านในนครมะดีนะฮฺ

فتكون لي عينا عليه و لاتخف عني شيئا من امورهم[12]

เมื่อท่านอิมาม (อ.) ได้ส่งมุสลิมบุตรของอะกีลไปยังนครกูฟะฮฺเพื่อรายงานข่าวความเคลื่อนไหวของชาวเมืองแก่ท่าน ท่านอิมาม (อ.) แนะนำมุสลิมว่าให้ส่งข่าวให้ท่านโดยด่วน เพื่อจะได้ปฏิบัติตามข่าวที่ได้ส่งมา

فجعل لی بالخبر حتی اعمل علی حسب ذلک انشاء الله[13]

ความรวดเร็วก็คือ พื้นฐานของการสืบหาข่าวในกองทัพมิเช่นนั้นข่าวที่ได้รับก็จะเป็นข่าวที่ไม่มีความหมาย และไม่บังเกิดมรรคผลแต่อย่างใด ในเรื่องนี้ท่านอิมาม (อ.) ได้ส่งเกส บุตรของมุซะฮัร และอับดุลลอฮฺ บุตรของยักฏุร จากนครมักกะฮฺไปยังกัรบะลาอฺและกูฟะฮฺ โดยมอบจดหมายไปพร้อมกับพวกเขา[14] เพื่อให้สื่อที่ท่านส่งไปแลกเปลี่ยนข้อมูลกับชาวกูฟะฮฺ

2 การสืบเสาะหาข่าวจากผู้ที่เห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเอง

ขณะที่ท่านอิมาม (อ.) อยู่ระหว่างทางที่จะไปกูฟะฮฺ ท่านได้พบกับฟัรซะดุก (นักกวีคนหนึ่ง) ท่านได้เขาเกี่ยวกับสถานภาพของชาวเมืองกูฟะฮฺ และผู้ปกครอง ในขณะนั้น ฟัรวะดุก กล่าวว่า ให้ฉันพูดความจริงไหม

อิมาม (อ.) กล่าวว่า ข้าต้องการให้เจ้าพูดความจริงออกมา

หลังจากนั้นฟัรซะดุก ได้กล่าวว่า หัวใจของประชาชนอยู่กับท่าน ทว่าดมดาบของพวกเขาอยู่กับพวกบนีอุมัยยะฮฺ

ในเวลานั้น ท่านอิมาม (อ.) ได้วิเคราะห์สภาพของชาวเมืองกูฟะฮฺและกล่าวว่า ประชาชนตกทาสของเงินตรา ส่วนศาสนาก็คืออาหารที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นของพวกเขา และที่ไหนก็ตามที่พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเสรีและเพียงพอพวกเขาก็จะกรูกันไปที่นั่น[15]

ท่านอิมาม (อ.) ได้ถามบะชัร บุตรของฆอลิบ ในระหว่างทางที่ไปกูฟะฮฺ เพื่อจะสืบเสาะหาข่าว[16]

3 การค้นหาข่าวจากทหารฝ่ายตรงข้าม

เมื่อท่านอิมาม (อ.) เผชิญหน้ากับกองทหารของฮูร อันดับแรกท่านอิมาม (อ.) ถามพวกเขาว่า พวกเจ้าเป็นใครกับหรือ ใครคือผู้บังคับบัญชาของเจ้า และท่านได้ถามฮูรว่า เจ้าเป็นฝ่ายเดียวกับข้าหรือว่าเป็นศัตรู[17]



[1] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 313
[2]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 415, 425, 429
[3] บิฮารุลอันวาร เล่ม 44 หน้า 192,193, 314, 316
[4] อ้างแล้วเล่มเดิม
[5]  เมาซูอะฮฺ หน้า 359, บิฮารุลอันวาร เล่ม 44 หน้า 314
[6]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 364
[7]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 358
[8] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 373 ตารีคฏ็อบรียฺ เล่ม 3 หน้า 309 เอรชาด หน้า 226  บิฮารุลอันวาร เล่ม 44 หน้า 38  กามิลฟิลตารีค เล่ม 2 หน้า 555
[9] ตารีคฏ็อบรียฺ เล่ม 3 หน้า 318 เอรชาด หน้า 233 บิฮารุลอันวาร เล่ม 45 หน้า 5 กามิลฟิลตารีค เล่ม  2 หน้า 561 เล่ามาจากเมาซูอะฮฺ หน้า 415
[10]  เมาซูอะฮฺ หน้า 463, 429,419
[11]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 362 ตารีคฏ็อบรียฺ เล่ม 3 หน้า 307, อะอฺยานุลชีอะฮฺ หน้า 597  
[12] อ้างแล้วแล่มเดิม หน้า 289 จากแหล่งอ้างอิงหลากหลาย
[13]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 314 จากแหล่งอ้างอิงหลากหลาย
[14]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 339, 340
[15]  อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 336, 337 , บิฮารุลอันวาร 44 , 195
[16]  เมาซูอะฮฺ หน้า 337
[17] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 354