') //-->
قال رسول الله (ص) ان الحسين مصباح الهدى و سفينة النجاه
นามว่า ฮุซัยนฺ (อ.) ประหนึ่งเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงอยู่ในหัวใจของมวลผู้ศรัทธา ชนิดที่ไม่มีวันดับ ทว่าจะมีผู้ศรัทธาอาลัยรักให้ท่านเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลาเป็นเช่นนี้ไปจนตราบชั่วฟ้าดินสลาย
อิมามฮุซัยนฺ บุตรของอะลี บุตรของฟาฏิมะฮฺ เป็นหลานรักของท่านศาสดา เป็นอิมามท่านที่ 3 ของแนวทางชีอะฮฺ
1- ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า ฮะซันและฮุซัยนฺ ทั้งสองคือชาวสวรรค์ของฉันบนหน้าแผ่นดิน
(เซาะฮียฺ บุคอรียฺ เล่ม 5 หน้า 33 กิตาบฟะฎออิลเซาะฮาบะฮฺ บาบมะนากิบฮะซันวะฮุซัยนฺ)
2. ท่านฮากิม นิชาบูรียฺ เล่ามาจากสายสืบของท่าน ซัลมาน เล่าว่าฉันได้ยินมาจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ว่า ...
الحسن و الحسين ابناي من احبّهما احبني و من احبني الحبه الله ومن احبه الله ادخله الجنة و من ابغضهما ابغضني ومن ابغضني ابغضه الله و من ابغضه الله ادخله النار
(مستدرك الحاكم ج 3 ص 166)
ฮากิมเล่ามาจากสายสืบของท่าน ซึ่งรายงานมาจาก อิบนุอุมัรว่า..
الحسن واحسين شيدا شباب اهل الجنه وابوهما خير منهما (مستدرك الحاكم ج 3 ص 167)
4. ติรมีซียฺ เล่ามาจากสายสืบของท่าน จากยูซุฟ บิน อิบรอฮีม เล่าว่าฉันได้ยินมาจากอนัส บิน มาลิก ว่ามีผู้ถามท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ว่า อะฮฺลุบัยตฺของท่านคนใดเป็นที่รักยิ่งสำหรับท่าน ท่านศาสดา กล่าวว่า ฮะซันและฮุซัยน ซึ่งท่านจะกล่าวกับท่านฟาฎิมะฮฺ (อ.) เสมอว่า จงเอาบุตรชายทั้งสองของพ่อมาให้พ่อด้วย หลังจากนั้นท่านจะหอมเด็กทั้งสองด้วยความเอ็นดูหลายต่อหลายครั้ง และจะเอาเด็กทั้งสองกอดไว้แนบอก (สุนันติรมีซียฺ เล่ม 5 หน้า 323 ฮะดีซลำดับที่ 3861)
5. ยะอฺลิบ นิ มัรวะฮฺ กล่าวว่า ฉันได้ออกจากบ้านพร้อมกับท่านศาสดาเพื่อไปเป็นแขกบ้านหนึ่ง ระหว่างทางเราได้เห็นฮุซัยนฺกำลังเล่นอยู่ ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) รีบเดินไปหาฮุซัยนฺ อ้าแขนทั้งสองออกเพื่อเตรียมกอดฮุซัยนฺ แต่ฮุซัยนฺไม่ยอมวิ่งไปทางโน้นทางนี้ซึ่งทั้งสองหัวเราะต่อกระซิกกัน จนกระทั่งศาสดาจับตัวฮุซัยนฺได้ มือข้างหนึ่งจับที่คางฮุซัยนฺ และมืออีกข้างหนึ่งจับที่ศีรษะฮุซัยนฺหลังจากนั้นท่านได้หอมฮุซัยนฺ และกอดไว้แนบอก ขณะนั้นท่านกล่าวว่า
حسين مني و انا منه احب الله من احبه الحسن والحسين سبطان من الاسباط
ฮุซัยนฺ มาจากฉันและฉันมาจากฮุซัยนฺ อัลลอฮฺ ทรงรักผู้ที่รักฮุซัยนฺ ฮะซันและฮุซัยนฺ ทั้งสองเป็นหลานสุดที่รักยิ่งของฉัน (อัลมุอฺญิมุลกะบีร เล่ม 22 หน้า 284, กันซุลอุมาล เล่ม 13 หน้า 662, ตารีคดะมิซก์ เล่ม 14 หน้า 150)
ประโยคแรก บ่งบอกว่าฮุซัยนฺ นั้นมาจากเราะซูล แม้ว่าบิดาของท่านคือ อิมามอะลี (อ.) ก็ตาม แต่เนื่องจากว่าท่านเราะซูลได้ถือตามโองการมุบาฮะละฮฺ ที่กล่าวว่า อะลีคือตัวตนของท่านเราะซูล ด้วยเหตุนี้ อิมามฮุซัยนฺ จึงถือว่าเป็นบุตรของท่านด้วย
อะบูมันซูร อะฮฺมัด บินอะลี อัฏฏอบริซีย์ ได้รายงานในเล่มที่ ๒ ของหนังสือ อัลอิฮฺติญาจ อย่างละเอียด ภายใต้เรื่อง คำตอบของอิมามมูซา บินญะอฺฟัร แก่คำถามของฮารูน” ซึ่งคำถามและคำตอบสุดท้ายนั้นเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังสนทนากันอยู่นี้
ฮารูนกล่าวว่า พวกท่านอนุมัติแก่คนทั่วไปและคนโดยเฉพาะให้ถือว่าพวกท่านเป็นบุตรหลานของท่านนบี (ซ็อล ฯ) โดยให้พวกเขาเรียกพวกท่านว่า โอ้ บุตรหลานท่านศาสนทูต ทั้ง ๆ ที่พวกท่านเป็นลูกหลานของอะลี ซึ่งคนเราจะสืบสกุลกันได้ก็โดยทางพ่อ ซึ่งฟาฏิมะฮฺเป็นเพียงภาชนะ และนบีเป็นบรรพบุรุษของพวกท่านทางสายแม่
อิมามอัรริฎอถามว่า หากท่านนบี (ซ็อล ฯ) คืนชีพ แล้วขอสมรสกับบุตรีของท่าน ท่านจะอนุญาตหรือไม่
ฮารูนตอบว่า มหาพิศุทธิคุณแห่งอัลลอฮฺ เหตุใดข้าพเจ้าจะไม่อนุญาตเล่า ในเมื่อข้าพเจ้าจะได้มีความภูมิใจเหนือชาวอาหรับและชาวต่างชาติ อีกทั้งเหนือเผ่ากุเรช
อิมามกล่าวว่า ทว่าท่านนบี (ซ็อล ฯ) ไม่อาจจะขอสมรสบุตรีของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่อาจจะให้เขาแต่งงานได้
ฮารูนถามว่า เพราะเหตุใด
อิมามตอบว่า “เพราะท่านนบี (ซ็อล ฯ) เป็นผู้กำเนิดข้าพเจ้า และไม่ได้เป็นผู้กำเนิดท่าน
ฮารูนตอบว่า ถูกต้องแล้ว ทว่าพวกท่านพูดได้อย่างไรว่าเป็นผู้สืบสกุลท่านนบี (ซ็อล ฯ) ทั้งๆที่ท่านไม่ได้มีทายาทสืบสกุล เพราะตามความเป็นจริงแล้ว ทายาทจะต้องเป็นชาย ไม่ใช่หญิง พวกท่านเป็นบุตรหลานของบุตรีของท่าน ซึ่งบุตรีของนางย่อมไม่ใช่ทายาทของท่าน
อิมามกล่าวว่า ข้าพเจ้าวอนขอต่อท่าน ด้วยสิทธิ์แห่งการเป็นญาติ ด้วยสิทธิ์แห่งสุสานนี้ และบุคคลที่อยู่ในนั้น ให้ท่านได้ยกเลิกที่จะซักถามข้าพเจ้าในเรื่องนี้
ฮารูนกล่าวว่า ไม่ได้ ท่านจะต้องแสดงหลักฐานในเรื่องนี้ให้จงได้ โอ้บุตรของอะลี โอ้มูซาผู้เป็นผู้นำของพวกเขาและอิมามแห่งยุคของเขา อย่างที่เขาบอกมา ข้าพเจ้าจะไม่ปล่อยให้ท่านหลบหลีกหนีจากคำถามของข้าพเจ้าได้เลย จนกว่าท่านจะนำหลักฐานจากพระคัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ พวกท่านบุตรหลานอะลี พวกท่านอ้างว่า ไม่มีแม้แต่อักษรเดียวในอัลกุรอานที่พวกท่านไม่ทราบ ไม่ว่าจะเป็นอักษร อะลิฟ หรือ วาว พวกท่านก็สามารถตีความหมายได้ โดยพวกท่านอ้างอิงหลักฐาน จากอัล-กุรอานว่า “เรามิได้ละเลยสิ่งใดในคัมภีร์นี้แม้แต่อย่างเดียว” และพวกท่านก็ไม่ยอมใช้ทัศนะและการเปรียบเทียบของเหล่านักปราชญ์
อิมามอัรริฎอถามว่า ท่านอนุญาตให้ข้าพเจ้าตอบหรือไม่
ฮารูนตอบว่า เชิญ
อิมามกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺให้พ้นจากชัยฏอนผู้ถูกอเปหิ ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺพระผู้ทรงเมตตาและกรุณาปราณีเสมอ และจากวงศ์วานของเขานั้น มีดาวูด สุไลมาน อัยยูบ ยูซุฟ มูซา ฮารูน เช่นนั้นแหละที่เราได้ตอบแทนผู้ประพฤติความดี และซะกะรียา ยะฮฺยา อีซา อิลยาซ ทั้งมวลเป็นผู้ทรงธรรม (อัล-กุรอาน อัลอันอาม ๓๘) ใครคือบิดาของอีซา
ฮารูนตอบว่า อีซาไม่มีบิดา
อิมามกล่าวว่า ทว่าอัลลอฮฺได้ทรงจัดให้ท่านเป็นวงศ์วานแห่งเหล่าศาสดา โดยทางสายมัรยัมผู้เป็นมารดา เช่นเดียวกับที่พวกเราเป็นวงศ์วานของท่านนบี (ซ็อล ฯ) โดยทางสายฟาฏิมะฮฺมารดาของเรา จะให้ข้าพเจ้าเพิ่มเติมอีกไหม
ฮารูนกล่าวว่า เชิญ
อิมามกล่าวว่า ครั้นแล้วผู้ใดก็ตามที่โต้แย้งเธอในเรื่องของเขา (อีซา) หลังจากความรู้แจ้งได้มาถึงเธอแล้ว เธอก็จงกล่าวเถิดว่า ท่านทั้งหลายจงมาเถิด เราจะเรียกบรรดาบุตรของเรา และบรรดาบุตรของพวกท่าน บรรดาสตรีของเรา และบรรดาสตรีของพวกท่าน ตัวของเราและตัวของพวกท่าน หลังจากนั้นเรามาวอนขออย่างจริงจัง เพื่อให้การสาปแช่งของอัลลอฮฺประสบแก่บรรดาผู้กล่าวเท็จ (อัล-กุรอาน อัลอันอาม ๘๔-๘๕) ไม่มีผู้ใดสักคนที่อ้างว่า ตนได้รับอนุญาตให้เข้าไปในผ้าห่มนั้น นอกจากอนุญาตให้เข้าไปในพิธีสาบานกับพวกคริสเตียน นอกจากอะลี บินอะบีฏอลิบ ฟาฏิมะฮฺ อัลฮะซัน และอัลฮุเซน (อ.) มุสลิมทั้งมวลได้ลงมติกันว่า จุดประสงค์ของคำว่า บุตรของเรา ในพระโองการนั้นคือ อัลฮะซัน และ อัลฮุเซน สตรีของพวกเรา คือ ฟาฏิมะฮฺ และ ตัวของเรา คือ อะลี บินอะบีฏอลิบ
ฮารูนกล่าวว่า ดีแล้ว โอ้มูซา จงบอกความประสงค์ของท่าน
อิมามกล่าวว่า ขอให้ท่านอนุญาตให้ข้าพเจ้า ได้กลับไปสู่นครต้องห้ามแห่งท่านศาสนทูตบรรพบุรุษของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้กลับไปอยู่กับบุตรและภรรยาของข้าพเจ้า
ฮารูนกล่าวว่า เราจะคิดดูก่อน
หลักฐานจากตำราและการรายงานของผู้คนทั่วไป
ยังมีหลักฐานอีกมากมายที่ยืนยันบุตรของอะลีและฟาฏิมะฮฺคือ บุตรของท่านนบี หลักฐานเหล่านี้ถูกบันทึกโดยนักปราชญ์ของพวกท่าน และรายงานโดยผู้ท่องจำและผู้รายงานของพวกท่านเอง เช่น:
อิมาม อัรรอศีย์ ได้กล่าวไว้ในตอนที่ ๔ ของหนังสืออรรถาธิบายอัลกุรอานของเขา และในหน้าที่ 1๒๔ ของปัญหาข้อที่ ๕ เมื่ออธิบายความหมายของโองการ ที่อยู่ในซูเราะฮฺอัลอันอามว่า แท้จริงโองการนี้ได้บ่งชี้ว่า อัลฮะซัน และ อัลฮุเซน (อ.) เป็นผู้สืบสกุลของท่านศาสนทูต (ซ็อล ฯ) เพราะว่า อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดให้อีซา (อ.) เป็นผู้สืบสกุลของอิบรอฮีม (อ.) ทั้ง ๆ ที่อีซาไม่มีบิดา แต่สืบสกุลทางมารดา ซึ่งก็เช่นเดียวกับ อัลฮะซัน และ อัลฮุเซน ที่สืบสกุลท่านศาสนทูตทางมารดา
อิมาม อัลบากิร (อ.) ได้อ้างอิงโองการนี้ต่อ อัลฮัจญาจ อัษษะกอฟีย์ เพื่อเป็นหลักฐานว่าพวกท่านเป็นผู้สืบสกุลท่านศาสนทูต (ซ็อล ฯ)
ส่วน อิบนุอะบิลฮะดีด ใน ชัรฮุ นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ และ อะบูบักริ อัรรอซีย์ ใน หนังสืออรรถาธิบายอัลกุรอานของเขา ได้ยืนยันว่า อัลฮะซัน และ อัลฮุเซน เป็นบุตรหลานของท่านศาสนทูตทางฟาฏิมะห์ผู้เป็นมารดา โดยอ้างอิงโองการอัลมุบาหะละหฺ ซึ่งในนั้นมีคำว่า บรรดาบุตรของพวกเรา เช่นเดียวกับที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดให้อีซา (อ.) เป็นผู้สืบสกุลของอิบรอฮีมทางมัรยัมมารดาของท่าน
คอฏีบ อัลคอวาริศมีย์ ได้รายงานใน อัลมะนากิบ มีร ซัยยิด อะลี อัลหะมะดานีย์ อัชชาฟิอีย์ ในหนังสือ มะวัดดะฮฺ อัลกุรบา ของเขา, อิมาม อะฮฺมัด บินฮันบัล ผู้เป็นยอดนักปราชญ์ของพวกท่าน ได้รายงานในพระวจนานุกรมมัซนัดของเขา, สุลัยมาน อัลฮะนะฟีย์ อัลบัลคีย์ ยะนาบิอฺ อัลมะวัดดะฮฺ โดยมีข้อความที่แตกต่างกันเล็กน้อยว่า ท่านศาสนทูตได้กล่าว ในขณะที่ชี้ไปยัง อัลฮะซัน และ อัลฮุเซน ว่า บุตรของฉันทั้งสองเป็นอิมาม แม้จะยืนหรือนั่ง
อนึ่งมุฮัมมัด บินยูซุฟ อัชชาฟิอีย์ ที่รู้จักกันในนาม อัลกันญีย์ ในหนังสือของเขาชื่อ กิฟายะฮฺ อัฏฏอลิบ หลังจากเขียนไปเป็นร้อยบท ได้เขียนบทความไว้ตอนหนึ่งในหนังสือนี้โดยตั้งชื่อหัวข้อว่า ตอนบุตรหลานท่านศาสนทูตมาจากอะลี บินอะบีฏอลิบ โดยรายงานฮะดีซที่มีสายรายงานจากญาบิร บินอับดิลลาหฺ อัลอันซอรีย์ เขากล่าวว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า อัลลอฮฺได้ทรงบันดาลให้บรรดาศาสนทูตมีผู้สืบสกุลที่มาจากเขาเอง ทว่าอัลลอฮฺได้ทรงบันดาลให้ผู้สืบสกุลของฉันมาจากอะลี บินอะบีฏอลิบ
ส่วนอิบนุฮะญัร อัลมักกีย์ ได้รายงานใน อัซซอวาอิก อัลมุฮฺริเกาะฮฺ หน้า ๗๔ และ ๙๔ จากอัฏฏอบะรอนีย์ จากญาบิร บินอับดิลลาหฺ อัลอันซอรีย์ เช่นเดียวกับที่ คอฏีบ อัลคอวาริศมีย์ ใน อัลมะนากิบ
อัลกันญีย์กล่าวว่า อัฏฏอบะรอนีย์ ได้รายงานใน อัลมุอฺญัม อัลกะบีร ตอนชีวประวัติของอัลฮะซัน โดยที่เขากล่าวว่า “หากมีผู้กล่าวว่า ไม่มีการเชื่อมต่อระหว่างผู้สืบสกุลของท่านนบี (ซ็อล ฯ) กับอะลี (อ.) นอกจากด้วยทางฟาฏิมะฮฺ (อ.) ซึ่งบุตรหลานของบุตรี ไม่ถือว่าเป็นผู้สืบสกุล โดยยึดคำของกวีที่ว่า
บรรดาบุตรชายคือบุตรของเรา ส่วนบรรดาบุตรีนั้น
ลูกหลานของพวกนางก็คือลูกหลานของเหล่าบุรุษผู้ห่างไกล
ข้าพเจ้าก็ขอกล่าวว่า ในอัล-กุรอานนั้น มีหลักฐานอันชัดเจนที่บ่งบอกถึงความไม่ถูกต้องของบทกวีนี้ นั่นคือพระโองการของพระองค์ที่ว่า
และแก่เขา เราได้ประทานอิซฮาก ยะอฺกูบ ทั้งหมดนั้นเราชี้นำแล้ว และนูฮฺ เราก็ได้ชี้นำแต่ก่อนหน้านั้น และจากบุตรหลานของเขานั้น คือ ดาวูด, สุลัยมาน, อัยยูบ, มูซา และฮารูน และเฉกเช่นนั้นเราจะตอบแทนผู้ประกอบความดีทั้งหลาย และซะกะรียา, ยะฮฺยา, อีซา, อิลยาซ ทุกคนนั้นล้วนอยู่ในหมู่คนดี และอิสมาอีล, อิลยะสะอฺ, ยูนุส และลูฏ เราได้โปรดปรานทุกคนเหนือกว่าประชาติทั้งหลาย
ซึ่งพระองค์ได้ทรงนับว่าอีซาเป็นหนึ่งในจำนวนผู้สืบสกุลของนูฮฺ (อ.) ซึ่งเป็นบุตรของบุตรีไม่มีความเชื่อมโยงกับท่าน นอกจากโดยสายของมัรยัม ผู้เป็นมารดาของเขา
นี้คือหลักฐานอันแน่วแน่ว่า บุตรหลานของฟาฏิมะฮฺ (อ.) เป็นผู้สืบสกุลของท่านนบี(ซ็อล ฯ) และไม่มีผู้สืบสกุลของท่านนบี(ซ็อล ฯ) นอกเหนือจากสายของนางอีกเลย ซึ่งการที่พวกเขาเป็นผู้สืบสกุลของท่านศาสดาอันประเสริฐ ถึงแม้ว่าจะเป็นทางสายมารดา ไม่ใช่สิ่งที่ต้องห้าม เช่นเดียวกับที่อีซา(อ.) เป็นผู้สืบสกุลของนูฮฺ ไม่ได้แตกต่างกันอย่างใด
ฮาฟิซ อัลกันญีย์ ได้รายงานตอนท้ายของชีวประวัตินี้ โดยอ้างสายรายงานของเขา จากอุมัร อิบนุลค็อฏฏอบ เขากล่าวว่า บุตรหลานของสตรีทุกคน จะสืบสกุลบิดาของเขา
นอกจากบุตรหลานของฟาฏิมะฮฺ ที่ฉันเป็นต้นตระกูลของเขา และเป็นบิดาของเขา
นักปราชญ์อัลกันญีย์กล่าวอีกว่า อัฏฏอบะรีย์ ได้รายงานเรื่องนี้ในชีวประวัติของอัลฮะซัน
นอกจากนี้เขายังได้รายงานเรื่องนี้ด้วยความแตกต่างเพียงเล็กน้อย และเพิ่มในตอนต้นว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺกล่าวว่า ทุก ๆ ฐานันดร และสกุล จะถูกตัดขาดกันในวันฟื้นคืนชีพ นอกจากฐานันดรของฉัน และสกุลของฉัน
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า ผู้รู้และผู้ท่องจำของพวกท่านมากมาย ได้รายงานเรื่องนี้ไว้ เช่น สุลัยมาน อัลฮะนะฟีย์ ในหนังสือ ยะนาบีอฺ อัลมะวัดดะฮฺ ของเขา โดยให้เรื่องนี้เป็นบทความในหนึ่งบท โดยเฉพาะ โดยได้รายงานจากอะบูซอลิฮฺ และจากฮาฟิซ อับดุลอะศีศ อิบนุลอัคฎอร และอะบูนุอัยมิ ใน มะอฺริฟะฮฺ อัซซอฮาบะฮฺ อีกทั้ง อัดดารุกอฏนีย์ และ อัฏฏอบะรอนีย์ ใน อัลเอาซัฏ
นอกจากนี้ ยังมีเชคอับดุลลอฮฺ บินมุฮัมมัด อัชชิบรอวีย์ ใน อัลอิฏฮาบ บิฮุบบิ อัลอัชรอฟ
ญะลาลุดดีน อัซซุยูฏีย์ ใน “อิฮฺยาอุ อัลมัยยิต บิ ฟะฎออิล อะหฺลิลบัยติ
อะบูบักริ อิบนุชิฮาบุดดีน ใน รอชฟะฮฺ อัซซอดีย์ ฟี บะฮฺริ ฟะฎออิล บะนี อัลนบีย์ พิมพ์ในอิยิปต์ บทที่ ๓
อิบนุฮะญัร อัลฮัยตะมีย์ ใน อัซซอวาอิก อัลมุฮฺริเกาะฮฺ บทที่ ๙ ตอนที่ ๘ ฮะดีซที่ ๒๗ เขากล่าวว่า อัฏฏอบะรอนีย์ได้รายงานฮะดีซนี้จากญาบิรและอัลคอฏีบ จากอิบนุอับบาส แล้วรายงานฮะดีซ
อิบนุฮะญัรได้รายงานอีกเช่นกันใน อัซซอวาอิก บทที่ ๑๑ ตอนที่ ๑ โองการที่ ๑ อะบุลคอยริ อัลฮากิมีย์ เจ้าของหนังสือ กุนูศ อัลมะฏอลิบ ฟี บะนี อะบีฏอลิบ ว่าอะลีได้เข้าไปหาท่านนบี (ซ็อล ฯ) ซึ่งที่นั่นมีอัลอับบาซอยู่กับท่านด้วย อะลีได้กล่าวซาลาม แล้วท่านนบีก็ตอบซาลาม แล้วท่านนบีก็ลุกขึ้นกอดอะลีแลัวจูบที่ระหว่างสองดวงตา แล้วให้เขานั่งข้างขวาท่าน อัลอับบาสจึงกล่าวว่า ท่านรักเขาหรือ ท่านตอบว่า โอ้ท่านลุง ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ อัลลอฮฺทรงรักเขามากกว่าฉัน อัลลอฮฺได้ทรงบันดาลให้วงค์ตระกูลของเหล่าศาสนทูตมาจากตัวเขาเอง ทว่าทรงบันดาลวงศ์ตระกูลของฉันมาจากตัวเขาคนนี้
อัลลามะฮฺ อัลกันญีย์ อัชชาฟิอีย์ ได้รายงานฮะดีซนี้ในหนังสือ กิฟายะฮฺ อัฏฏอลิบ บทที่ ๗ ด้วยสายรายงานของเขาเอง จากอิบนุอับบาส
นอกจากนี้ยังมีฮะดีซอื่น ๆ อีกมากมายที่เชื่อถือได้ ในหนังสือตำราของพวกท่าน อันเป็นที่ยอมรับโดยเหล่านักปราชญ์ของพวกท่าน ที่ระบุว่า ท่านนบีถือว่า อัลฮะซัน และอัลฮุเซน เป็นบุตรของท่านนบีเอง โดยแนะนำให้เหล่าสาวกทราบว่า ทั้งสองคนนี้คือบุตรของฉัน
ในอรรถาธิบาย อัลกัชชาฟ ซึ่งเป็นหนังอรรถาธิบายที่สำคัญที่สุดเล่มหนึ่งของพวกท่าน ตอนที่อธิบายโองการอัลมุบาหะละหฺ กล่าวว่า ไม่มีหลักฐานใดจะเข้มแข็งกว่าหลักฐานนี้ ในเรื่องของความสูงส่งของพวก กิซาอุ นั่นคือ อะลี ฟาฏิมะฮฺ อัลฮะซัน และอัลฮุเซน เพราะเมื่อโองการนี้ลงมา ท่านนบี (ซ็อล ฯ) เรียกพวกเขาเข้ามา แล้วกอดอัลฮุเซนและจูงมืออัลฮะซัน ให้ฟาฏิมะฮฺเดินตามหลังท่าน และอะลีเดินตามหลังเขาทั้งสอง จึงเป็นที่เข้าใจว่า พวกเขาคือบุคคลที่ระบุในโองการนี้ และบรรดาบุตรและวงศ์วานของฟาฏิมะฮฺ ก็จะเรียกว่าเป็นบุตรหลานท่านนบี (ซ็อล ฯ) ถือว่าเป็นผู้สืบสกุลของท่านอย่างถูกต้องทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
อะบูบักริ อัรรอศีย์ ใน อัตตัฟซีร อัลกะบีร ในการอธิบายคำว่า บุตรของเรา ได้อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างยืดยาวพร้อมหลักฐาน บอกว่าอัลฮะซันและอัลฮุเซนคือบุตรและผู้สืบสกุลของท่านศาสนทูต กรุณาไปตรวจอ่านดู
ท่านฮาฟิซ บทกวีของท่านที่ว่า
บรรดาบุตรชายคือบุตรของเรา ส่วนบรรดาบุตรีนั้น
ลูกหลานของพวกนางก็คือลูกหลานของเหล่าบุรุษผู้ห่างไกล
บทกวีนี้ยังจะมีความหมายอะไรอีก เมื่ออยู่ต่อหน้าอัล-กุรอานและฮะดีซอันเป็นหลักฐานอันชัดเจน หากใครคนใดยังจะเชื่อเช่นนั้นอีก - ทั้ง ๆ ที่รู้แล้วว่าบทกวีญาฮฺลียะฮฺก่อนอิสลาม มีคุณสมบัตที่เป็นการปฏิเสธการศรัทธา - ก็จะต้องถูกตอบโต้ด้วยโองการแห่งอัลลอฮฺและฮะดีซแห่งศาสนทูต
และท่านฮาฟิซ กรุณารับทราบว่านี่คือหลักฐานส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้สืบสกุลท่านนบี (ซ็อล ฯ) และเกี่ยวข้องกับท่านอย่างแท้จริง ดังนั้นเป็นการเหมาะที่ข้าพเจ้าจะภูมิใจและกล่าวว่า
พวกเขาคือบรรพบุรุษของข้า ดังนั้นจงนำเหมือนพวกเขามาให้ข้าฯ