') //-->
คำตอบของท่านซัยยิด บากิร ศอดร์ กระจ่างแจ้งและน่าเชื่อถือ แต่มันอาจยกสำหรับคนอย่างข้าพเจ้าที่จะเข้าใจ ตลอดเวลา 25ปีที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความคิดการสดุดีและเคารพบรรดาสาวกของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ) โดยเฉพาะอย่างย่ิงท่านเคาะลิฟะฮฺ อัรรอชิดีน ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺได้สั่งเราให้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือท่านอบูบักร อัซซิดดีก และท่านอุมัร อัลฟารุก แต่ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อของเขาทั้งสองถูกกล่าวถึง ตั้งแต่ข้าพเจ้ามาถึงอิรักเลย ข้าพเจ้าได้ยินแต่ชื่อแปลกๆเข้ามาแทนที่ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อน เช่น สิบสองอิมามเป็นต้น
มีการอ้างว่าท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ซบ.)ได้พูดก่อนถึงแก่กรรมว่า ท่านอะลีควรเป็นผู้สืบทายาท(เคาะลิฟะฮฺ)แทนท่าน ข้าพเจ้าจะเชื่อได้อย่างไรว่า มุสลิมที่เป็นสาวกที่ดีที่สุด หลังจากการวะฟาต(ถึงแก่กรรม)ของท่่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ)แล้ว เขาจะต่อต้านท่านอะลี(อ.) เพราะเราได้ถูกสอนมาต้ังแต่เยาว์วัยว่าบรรดาสาวกของท่านศาสดานั้น เคารพนับถือท่านอะลี(อ.)และรู้เป็นอย่างดีว่าท่านเป็นคนชนิดใด พวกเขารู้ดีว่าท่านเป็นสามีของท่านหญิงฟาติมะฮ์ อัซซะฮ์รอ และท่านเป็นบิดาของท่านอิมามฮาซันและฮุซัยนฺ และเป็นประตูแห่งวิชาการ ท่านอิมามอะลีก็ทราบคุณลักษณะของท่านอบูบักร อัซซิดดีก ผู้เป็นมุสลิมก่อนใครทั้งสิ้นเป็นอย่างดี ท่านร่วมเดินทางไปกับท่านศาสดาเข้าสู่ถ้ำ ซึ่งอัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ในอัล-กุรอาน ผู้ซึ่งท่านศาสดาสั่งให้เขาเป็นผู้นำการนมาซในขณะที่ท่านป่วย ท่านศาสดายังได้กล่าวว่า “ถ้าหากจะให้ข้าพเจ้าเลือกเพื่อนสักคนหนึ่งเป็นเพื่อนสนิทแล้ว ข้าพเจ้าจะเลือกอบูบักร”เพราะเหตุดังกล่าวมวลมุสลิมจึงได้เลือกท่านเป็นเคาะลิฟะฮฺ
และท่านอิมามอะลี(อ.)ก็รู้สภาพของท่านอุมัรดี อัลลอฮฺทรงทำให้อิสลามรุ่งเรืองก็เพราะท่านอุมัร และท่านศาสดามุฮัมมัดก็เรียกท่านว่า อัลฟารุก ท่านอุมัร สามารถแยกส่ิงที่ถูกออกจากสิ่งที่ผิด ในทำนองเดียวกัน ท่านอิมามอะลี รู้สภาพของอุศมานดี คือเมื่อเทวทูต(มะลาอิกะฮ์)มาอยู่ร่วมกับท่าน เทวทูตยังรู้สึกอาย ท่านอุศมานได้จัดตั้งกองทัพ อัล อุชรออ์ขึ้น ท่านถูกท่านศาสดาตั้งชื่อให้ว่าเป็น “ซุลนูรอยน์”(ผู้มีสองรัศมี)
ทำไมเพื่อนชาวชีอะฮฺทั้งหลายจึงได้ละเลยหรือแกล้งละเลยเรื่องเหล่านี้เสียและถือว่าบุคคลดังกล่าวเป็นคนธรรมดาสามัญอยู่ภายใต้ความฝันและความโลภ หันเหออกจากหนทางที่ถูกต้อง และไม่เชื่อฟังคำสั่งของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ) หลังจากที่ท่านวะฟาต(ถึงแก่กรรม)ส่ิงนี้เป็นส่ิงที่ข้าพเจ้าคิดไม่ถึง เพราะเรารู้ว่าประชาชนนั้นรีบร้อนที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของท่านศาสดา พวกเขาได้เข่นฆ่าลูกๆ และพ่อๆรวมทั้งสมาชิกของเผ่าพันธุ์ของพวกเขา เพื่อให้อิสลามเจริญรุ่งโรจน์และเพื่อให้ได้ชัยชนะในที่สุด ผู้ที่สังหารบิดาและบุตรของตนเองเพื่อมุ่งหวังความภักดีของอัลลอฮฺ(ซบ.) และศาสดาของเขา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทะเยอทะยาน อยากจะได้ตำแหน่งหน้าที่อันสูงส่งบนโลกนี้ นั่นคือตำแหน่ง เคาะลิฟะฮฺแล้วละเลยคำสั่งของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ซบ.)
ถูกแล้ว พราะเหตุนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เชื่อในส่ิงที่ชีอะฮฺพูด ทั้งๆที่ความจริงมีอยู่ว่า ข้าพเจ้านั้นแน่ใจในหลายส่ิงก็ตาม ข้าพเจ้ายังคงอยู่ในสภาพความสงสัยและความงงงวย สงสัยในส่ิงที่ผู้คงแก่เรียนชาวชีอะฮฺได้พูดกับข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกว่าเป็นส่ิงที่เข้าใจได้และสมเหตุสมผล และที่ข้าพเจ้างงงวย เพราะข้าพเจ้าไม่สามารถเชื่อได้ว่าบรรดาสาวกของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ)จะจมดิ่งลงสู่จุดยืนทางศีลธรรมที่ต่ำเช่นนั้น แล้วกลับกลายเป็นสามัญชนธรรมดาไป ซึ่งพวกเขามิได้ถูกทำให้เฉียบแหลมด้วยรัศมีแห่งโองการขององค์อัลลอฮฺเลย หรือมิได้ถูกทำให้มีแสงสว่างขึ้นจากรายงานของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ)เลย โอ้ พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ส่ิงนั้นเป็นไปได้อย่างไร บรรดาสาวกของท่านศาสดาสามารถอยู่ในระดับอย่างที่ฝ่ายชีอะฮฺได้้กล่าวไว้หรือ ส่ิงที่สำคัญก็คือว่า ความสงสัยและความงงงวย เป็นการเบิกโรงไปสู่ความอ่อนแอและเกิดความสำนึกว่า ต้องมีปัญหาที่ซ่อนเร้นอยู่อีกมากที่จะต้องถูกเปิดเผยก่อนทราบความจริง
เพื่อนของข้าพเจ้ามาถึง แล้วเราก็ไปเมืองกัรบาลาอ์ด้วยกัน ณ ที่นั่น เรามีชีวิตอย่างเศร้าสลด เช่นนายของเราคือท่านอิมามฮูเซน และผู้ดำเนินรอยตามท่านก็เช่นเดียวกัน และในขณะนั้นเท่านั้น ที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านมิได้ถึงแก่กรรมอย่างมุษย์ธรรมดาสามัญ ประชาชนเดินรอบหลุมฝังศพของท่านคล้ายกับฝูงผีเสื้อ ร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าและระทมอย่างที่ข้าพเจ้าไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย ดุจดังว่าท่านอิมามฮูเซน เพิ่งถึงแก่กรรมไปใหม่ๆนั่นเทียว
ข้าพเจ้าได้ยินนักพูด พูดปลุกความรู้สึกของประชาชนบรรยายเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ณ แผ่นดินกัรบาลาอ์ ประกอบกับการร่ำไห้และคร่ำครวญ ทำให้ผู้ฟังบางคนถึงกับส้ินสติและล้มลง ข้าพเจ้าพลอยร้องไห้ไปด้วย และปล่อยให้ร่างกายเป็นไปตามเรื่องเหมือนถูกบดขยี้ วันนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกหมดกังวลอย่างไม่เคยประสพมาก่อน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าไปอยู่ข้างฝ่ายศัตรูของท่านอิมามฮูเซน และในทันใดนั้น ก็ได้กลับมาอยู่ข้างฝ่ายผู้ดำเนินรอยตามท่านอิมามฮูเซน ซึ่งสละชีวิตของตนเองเพื่ออัลอฮ์
บางครั้งผู้พูดได้กล่าวถึงเรื่องราวของท่านฮูร ผู้ซึ่งเป็นผู้บัญชากการกองทัพควบคุมการต่อสู้กับท่านอิมามฮูเซน เขายืนอยู่ท่ามกลางสมรภูมิตัวสั่นคล้ายใบไม้ และเมื่อเพื่อนของเขาคนหนึ่งถามเขาว่า “ท่านกลัวตายหรือ” ท่านฮูรตอบว่า “เปล่า ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ข้าพเจ้ากำลังเลือกระหว่างสวรรค์กับนรกอยู่”จากนั้นเขาก็กระตุกม้ามุ่งไปสู่ท่านอิมามฮูเซนและถามท่านว่า “โอ้บุตรแห่งท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ ยังมีโอกาสในการขออภัยโทษอีกไหม”
เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้น จึงไม่สามารถบังคับตนเองได้ ล้มลงบนพื้นดินพลางร้องไห้ รู้สึกเหมือนว่าข้าพเจ้าตกอยู่ในสภาพของท่านฮูร ที่ถามท่านอิมามฮูเซนว่า “ยังมีโอกาสขออภัยโทษอีกไหม โอ้บุตรแห่งท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ จงยกโทษให้แก่ข้าพเจ้าด้วย โอ้บุตรแห่งศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ” เสียงของผู้พูดนั้นเร้าใจเหลือเกินทำให้ประชาชนร่ำไห้และคร่ำครวญ เมื่อเพื่อนของข้าพเจ้าได้ยินข้าพเจ้าร้องไห้ เขาได้เข้ามากอดข้าพเจ้าเหมือนแม่กอดลูก และเร่ิมร้องไห้พลางเรียก “โอ้ ท่านฮูเซน.....โอ้ ท่านฮูเซน.....”
ส่ิงเหล่านี้เป็นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ระหว่างนั้นข้าพเจ้าได้รู้ความหมายของการร้องไห้อย่างแท้จริง และรู้สึกว่าน้ำตาของข้าพเจ้านั้นชะล้างหัวใจและร่างกายจากภายใน และแล้วข้าพเจ้าก็เข้าใจความหมายของคำกล่าวของท่านศาสดามูฮัมมัดที่ว่า “ถ้าท่านรู้อย่างที่ข้าพเจ้ารู้ ท่านจะร้องไห้มากและหัวเราะน้อย”
ข้าพเจ้ารู้สึกหดหู่ใจตลอดทั้งวัน แม้ว่าเพื่อนของข้าพเจ้าพยายามทำให้ข้าพเจ้ารื่นเริงด้วยการให้เครื่องดื่มรับประทาน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่อยากกินหรือดื่มอะไรเลย ข้าพเจ้าขอให้เขาเล่าเรื่องการถึงแก่กรรมของท่านอิมามฮูเซนอีกครั้งหนึ่ง เพราะข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องนั้นมากมายนักนอกจากที่ผู้นำทางศาสนาของเราเล่าให้ฟังเท่านั้น เขาเล่าว่าศัตรูของอิสลามได้ฆ่าท่านอุมัร ท่านอุศมานและท่านอะลี และศัตรูคนเดียวกันนั้นก็ฆ่าท่านอิมามฮูเซนด้วย และนั่นคือส่ิงที่เรารู้เท่านั้น ความจริงเราฉลองวันอาชูรอ ซึ่งเป็นวันรื่นเริงวันหนึ่งของอิสลาม โดยมีการแจกทานและมีการหุงอาหารเลี้ยงกัน เด็กๆจะไปหาผู้ใหญ่ ซึ่งท่านจะแจกเงินให้ไปซื้อของกินและของเล่นตามใจชอบ
อย่างไรก็ดี ก็ยังมีประเพณีบางอย่าง ในหมู่บ้านบางแห่งในระหว่างวันอาชูรอ เช่น ประชาชนจะไม่จุดไฟ จะไม่ทำงาน จะไม่แต่งงานหรือฉลองในโอกาสนั้น เรายอมรับวันอาชูรออย่างธรรมาดาสามัญ โดยมิได้รู้คำอธิบายเพ่ิมเติมแต่ประการใด และย่ิงกว่านั้นผู้นำทางศาสนาของเราได้พูดให้เราทราบถึงความย่ิงใหญ่ของวันอาชูรออีกด้วย
จากนั้นเราไปเยี่ยมสถานที่ฝังศพของท่านอับบาส น้องชายของท่านอิมามฮูเซน ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านคือใคร แต่เพื่อนของข้าพเจ้าได้เล่าให้ฟังถึงความกล้าหาญของท่าน เรายังไปพบผู้นำทางศาสนาที่เคร่งครัดหลายคนซึ่งชื่อของเขาข้าพเจ้าไม่สามารถจำได้ แต่ข้าพเจ้าก็ยังนึกถึงนามสกุลของเขาได้ เช่น บะฮ์รุลอุลูม อัซซัยิด อัลฮะกีม กาชิฟุล ฆิฏอฮ์ อัลยาซีน อัฏฏอบาฏอบาอี อัสฟีรูส อาบาดี อะซัร ฮัยดัร และคนอื่นๆอีกที่ต้อนรับข้าพเจ้าและให้เกียรติข้าพเจ้า
พวกเขาทั้งหลายล้วนเป็นผู้นำทางศาสนาอย่างแท้จริง มีบุคลิกภาพที่ดีมีเกียรติ และน่าเคารพนับถือ บรรดาชีอะฮฺให้ความเคารพนับถือพวกเขา และมอบหนึ่งในห้าของรายได้สุทธิแก่พวกเขา ด้วยเงินที่ได้รับบริจาคเหล่านั้น พวกเขานำไปจัดการเรื่องโรงเรียนสอนศาสนาเปิดโรงเรียนแห่งใหม่ ก่อตั้งโรงพิมพ์และช่วยเหลือนักเรียนมุสลิมที่มาจากทั่วโลก
มันเป็นเงินอิสระที่ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลแต่อย่างใด ไม่เหมือนผู้นำทางศาสนาของพวกเขา ซึ่งพวกเราจะไม่ทำหรือพูดอะไรเลย ถ้ารัฐบาลไม่เห็นชอบและยอมรับรองก่อน เพราะรัฐบาลเหล่านั้นจ่ายเงินเดิือนให้เขา แต่งตั้งและถอดถอนเขาตามที่เขาต้องการ
นับเป็นโลกใหม่ที่ข้าพเจ้าค้นพบ หรืออย่างที่เรียกว่าอัลลอฮฺได้ให้ข้าพเจ้าค้นพบ ข้าพเจ้าเร่ิมสนุกสนานกับมันซึ่งแต่ก่อนนี้เกลียดมัน และข้าพเจ้าผสมผสานเข้ากับมันทีละน้อยหลังจากต่อต้านเรื่อยมา ข้าพเจ้าได้รับความคิดใหม่จากโลกนี้ มันดลใจข้าพเจ้าให้แสวงหาความรู้ให้ทำการวิจัยเพื่อให้บรรลุถึงความจริงที่ปรารถนา มันจะเข้าสู่จิตใจของข้าพเจ้าเสมอ เมื่อข้าพเจ้าอ่านคำกล่าวของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ)ที่ว่า
“ลูกหลานของอิสราเอลนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 71 จำพวกและพวกคริสต์จะถูกแบ่งออกเป็น 72 จำพวกและประชาชาติของข้าพเจ้าจะถูกแบ่งออกเป็น 73 จำพวกทั้งหมดนั้นจะเข้านรก เว้นแต่พวกเดียวเท่านั้นจะไ้ดเข้าสวรรค์”
ณ ที่นี้มิใช่ที่ซึ่งจะพูดกันถึงเรื่องศาสนาต่างๆ ซึ่งอ้างว่า ศาสนาหนึ่งถูกและศาสนาที่เหลืออื่นๆผิดหมด แต่ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจและสนเท่ห์ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าอ่านคำกล่าวนั้น คำประหลาดใจและความสนเท่ห์ของข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ที่คำกล่าวนั้น แต่อยู่ที่มุสลิมทั้งหลายที่อ่านและนำไปพูดและเอาใจใส่แต่เพียงผิวเผิน โดยมิได้วิเคราะห์ หรือไม่พยายามที่จะค้นคว้าสืบสวนว่า พวกไหนจะปลอดภัยและพวกไหนจะได้รับอันตราย
ส่ิงที่น่าสนใจก็คือ แต่ละพวกแต่ละกลุ่มก็อ้างว่าพวกของตน กลุ่มของตนเป็นพวกที่จะได้รับความปลอดภัย ในที่สุดการกล่าวก็จะลงเอยด้วยคำพูดต่อไปนี้ “พวกที่จะปลอดภัยนั้นเป็นใครกันท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ” ท่านตอบว่า “พวกนั้นเป็นพวกที่ดำเนินตามหนทางของข้าพเจ้าและหนทางของสาวกของข้าพเจ้า” มีกลุ่มหรือพวกใดบ้างเล่าที่ไม่ได้ยึดถือคัมภีร์อัล-กุรอานและแบบฉบับ(ซุนนะฮ์)ของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล ฯ) และมีมุสลิมกลุ่มใดบ้างที่อ้างเป็นอย่างอื่น ถ้าท่านอิมามมาลิกหรืออบู ฮะนีฟะฮ์หรือชาฟีอี หรืออะฮ์มัด อิบนิ ฮัมบัล ถูกถามอย่่างนี้ แต่ละท่านนั้นจะไม่ตอบหรือว่า เขายึดมั่นอยู่ในอัล-กุรอานและซุนนะฮ์ทั้งนั้น
เหล่านี้คือมัซฮับฝ่ายซุนนี สำหรับฝ่ายชีอะฮฺต่างนั้น ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยคิดว่าพวกเขาหลงผิด ทั้งหมดอ้างว่าตนยึดมั่นอยู่ในอัล-กุรอานและซุนนะฮ์ที่ถูกต้อง ซึ่งส่งต่อมาถึงอะฮ์ลุลบัยต์ (ลูกหลานของท่านศาสดามุฮัมมัด) ผู้ซึ่งรู้ดีที่สุดในสิ่งที่พวกเขาพูดกัน เป็นไปได้หรือ ว่าพวกเขาถูกต้องอย่างที่พวกเขาอ้าง สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะคำกล่าวของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล) กล่าวไว้ตรงกันข้ามกับที่เขากล่าว นอกจากคำกล่าวนั้นถูกกุขึ้นหรือสร้างขึ้นมาเท่านั้น แต่ว่าก็เป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพราะคำกล่าวนั้นถูกยอมรับทั้งฝ่ายชีอะฮฺและฝ่ายซุนนี จึงเป็นไปได้หรือที่คำกล่าวนั้นไม่มีความหมาย โอ้ อัลลอฮฺ ขออย่าให้ศาสนทูตของพระองค์กล่าวคำพูดที่เหลวไหลเลย เพราะท่านกล่าวแต่คำพูดที่เป็นสัจธรรมเท่านั้น ดังนั้นจึงยังคงเหลือข้อสรุปที่เป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งคือ มีกลึ่มหนึ่งซึ่งอยู่ในหนทางที่ถูกต้องส่วนที่เหลือนั้นผิดหมด ดังนั้น คำกล่าวนั้นจึงเอนเอียงไปในทางที่คนหนึ่งคนใดอาจสับสน หรืองงงวยได้ แต่ขณะเดียวกันก็ยั่วยุให้มีการวิจัยและศึกษาสำหรับผู้ที่ต้องการอยู่อยางปลอดภัย
ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงเป็นผู้ที่สงสัยและงงงวยหลังจากที่ข้าพเจ้าพบกับชีอะฮฺ เพราะใครจะรู้ พวกเขาอาจพูดความจริงก็ได้ ดังนั้น ข้าพเจ้าจะไม่ศึกษาหรือสืบสวนดูหรือ?
อิสลามตามอัล-กุรอานและแบบฉบับของท่านศาสดามุฮัมมัดสั่งให้ข้าพเจ้าศึกษา สืบสวนและเปรียบเทียบ เพราะอัลลอฮฺทรงกล่าวว่า
“และบรรดาผู้ที่ดิ้นรนต่อสู้ในหนทางของเรา แน่นอนเราจะชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องแก่พวกเขาสู่แนวทางของเรา” (บทที่ 29 โองการที่ 69)
พระองค์ยังกล่าวอีกว่า
“ผู้ที่สดับฟังคำกล่าว แล้วปฏิบัติตามสิ่งที่ดีที่สุดของถ้อยคำนั้นชนเหล่านี้คือบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้พวกเขา และชนเหล่านี้คือผู้ที่มีวิจารณญาณโดยแท้” (บทที่ 39 โองการที่ 18)
ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺได้กล่าวว่า “จงศึกษาศาสนาของท่านจนกระทั่งถูกกล่าวหาว่าบ้า” เพราะฉนั้น การวิจัยและการเปรียบเทียบเป็นข้อผูกพันที่ถูกต้องตามกฏหมายสำหรับผู้ที่รับผิดชอบทุกคน
หลังจากที่ข้าพเจ้าได้มาถึงการตัดสินใจและตกลงใจนี้แล้ว และด้วยคำสัญญาของข้าพเจ้าที่ให้ไว้กับเพื่อนชาวชีอะฮฺจากอิรักว่าจะวิจัย ข้าพเจ้าก็สวมกอดพวกเขาและกล่าวคำอำลาอันเต็มไปด้วยความเศร้าโศก เพราะข้าพเจ้ารักพวกเขาและพวกเขาก็รักข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกว่าได้จากเพื่อนที่รักและซื่อสัตย์ ซึ่งสละเวลาของพวกเขาเพื่อช่วยเหลือข้าพเจ้า พวกเขาทำด้วยความสมัครใจ โดยมิได้เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน นอกจากการยอมรับจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ท่านศาสดามุฮัมมัดกล่าวว่า “หากอัลลอฮฺทรงเลือกท่านให้แนะนำชายคนหนึ่งไปสู่ทางที่เที่ยงตรงแล้ว ดังนั้น นั่นเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งไปกว่าแสงอาทิตย์ที่ทอแสงสู่โลกทั้งหมดเสียอีก”
ข้าพเจ้าจากอิรักหลังจากใช้เวลาอยู่ในประเทศนั้นเป็นเวลา 20 วันโดยอยู่รวมกับอิมามและดำเนินรอยตามท่าน และเวลาได้ผ่านไปเหมือนความฝันอันสุขสดชื่นซึ่งผู้นอนหลับไม่อยากตื่นชึ้นมาเลย ข้าพเจ้าจำจากอิรักอย่างเสียใจที่ระยะเวลาที่อยู่ที่นั่นสั้นเกินไป และเสียใจที่ต้องจากเพื่อนรัก ที่รักต่อลูกหลานของท่านศาสดามุฮัมมัด (อะฮ์ลุลบัยต์)
ข้าพเจ้าออกจากอิรักไปยังเมืองฮิญาซเพื่อสู่บ้านของอัลลอฮอ์ (ซ.บ.) และสถานที่ฝังศพแห่งนายคนแรกและคนสุดท้ายของเรา นั่นคือท่านศาสดามฮัมมัด (ศ็อล)