') //-->
เนื่องจากความเป็นระบบระเบียบและความกลมกลืนที่ปรากฏอยู่ในสิ่งเหล่านั้น ที่ทำให้เรารับรู้ถึงความรู้ของผู้สร้างสิ่งดังกล่าว และจากข้อเท็จจริงนี้เองที่เราได้ข้อสรุปว่า ไม่มีความจำเป็นแต่ประการใดที่สิ่งที่เราต้องการยอมรับถึงการมีอยู่ต้องเป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้หรือสัมผัสได้ แต่ทว่ามีสิ่งต่างๆ อีกเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถรับรู้ด้วยกับประสาทสัมผัสภายนอกใดๆ ของเราได้ แต่สามาราถรับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งนั้นได้ด้วยการพิจารณาไตร่ตรองผล ทั้งนี้เนื่องจากผู้มีปัญญาทุกคนจะรับรู้ด้วยกับการพิจารณาเพียงผิวเผินว่าผลมิอาจปราศจากปัจจัยและตัวกระทำได้ และสิ่งที่มีระเบียบแบบแผนและได้สัดส่วนมิอาจปราศจากผู้วางระบบระเบียบที่มีภูมิปัญญาและรอบรู้ได้ ดังนั้น เราจึงสามารถแบ่งสิ่งต่างๆในโลกออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ
สิ่งที่รับรู้ได้ด้วยกับประสาทสัมผัสทั้งห้า เรามองเห็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา รับฟังเสียงด้วยหู เราจะรับรู้ถึงกลิ่นหอมและกลิ่นที่น่ารังเกียจ รสขมและหวาน ความเย็นและความร้อน ความหยาบกระด้างและความอ่อนนุ่มได้ด้วยกับจมูก ลิ้น และผิวกายของเราตามลำดับ
สิ่งที่ไม่อาจรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสภายนอกใดๆของเรา แต่เราสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งดังกล่าวได้ด้วยกับการศึกษาถึงผลหรือปฏิกิริยาของมัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้บ้างเป็นวัตถุ บ้างเป็นสิ่งที่ปราศจากความจำกัดและคุณสมบัติของวัตถุโดยสิ้นเชิง
กระแสไฟฟ้า : เราไม่อาจมองเห็นกระแสไฟฟ้าในสายไฟฟ้าได้ และเฉพาะจากผลพวงของมันเท่านั้น เช่น การสว่างของหลอดไฟ เราจึงจะสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของไฟฟ้าได้ ดังนั้น กระแสไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แม้ว่าตาของเราจะไม่อาจมองเห็นมันได้ก็ตาม
แสงที่มองไม่เห็น : หากเราให้แสงสีขาวของดวงอาทิตย์ส่องผ่านแท่งปริซึม เราจะเห็นแสงเจ็ดสีผ่านออกมาจากอีกด้านหนึ่งของแท่งปริซึมซึ่งประกอบไปด้วยแสงสีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน สีคราม และสีม่วง ถัดจากแถบแสงสีแดงลงมาและเหนือแถบแสงสีม่วงขึ้นไปจะไม่ปรากฏแสงใดๆให้เห็น ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์พบว่าในบริเวณที่ตาของมนุษย์มองไม่เห็นแสงใด ๆ นั้น ยังคงมีแสงบางชนิดปรากฏอยู่ซึ่งก่อให้เกิดปฏิกิริยาความร้อนและปฏิกิริยาเคมี แสงดังกล่าวมีชื่อว่า “อินฟาเร็ด” และ “อุลตร้าไวโอเล็ต”
การรับรู้ : เราทุกคนต่างรับรู้และตระหนักดีถึงการมีอยู่ของตัวเราเองและสิ่งอื่นๆรอบตัวเรา ซึ่งเราจะกล่าวถึงการรับรู้เหล่านั้นด้วยประโยคต่างๆ อาทิเช่น “ฉันได้ขบคิดถึงทฤษฎีดังกล่าวอย่างหนักจนพบว่ามันเป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง” เป็นต้น
จินตนาการ : มนุษย์สามารถสร้างภาพใดๆก็ได้ขึ้นมาในสมองของเขา อาทิเช่น เขาสามารถจินตนาการหอไอเฟลขึ้นมาได้ในพริบตา ในขณะที่การก่อสร้างหอดังกล่าวในโลกภายนอกต้องใช้เวลายาวนาน วัสดุหลากหลายชนิด และคนงานอีกเรือนพัน
มนุษย์ยังสามารถจินตนาการสิ่งต่างๆที่ไม่มีอยู่จริงในโลก เช่น สัตว์ประหลาดหลายหัว หลายเท้า เป็นที่ชัดเจนว่าบุคคลอื่นไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งที่เราจินตนาการได้โดยตรง เพราะมิใช่สิ่งที่มองเห็นได้หรือได้ยินเสียงได้ แต่ทว่าต้องอาศัยผลของจินตนาการเหล่านั้นหรือไม่ก็จากการบอกเล่าของเรา
ความรัก ความโกรธ และการตัดสินใจ : ทุกคนล้วนแต่มีสิ่งที่ตนเองชอบและรังเกียจทั้งสิ้น อีกทั้งต้องตัดสินใจในเรื่องต่างๆของชีวิตอยู่เสมอ สิ่งใดที่เขาชอบเขาจะตัดสินใจกระทำมัน ส่วนสิ่งใดที่เขารังเกียจเขาจะตัดสินใจไม่ข้องแวะกับมัน
ไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ถึงการตัดสินใจของผู้อื่นและสิ่งที่เขาชอบหรือไม่ชอบ ยกเว้นโดยอาศัยผลและปฏิกิริยาของสิ่งเหล่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากความรัก ความโกรธและการตัดสินใจมิใช่ทั้งสิ่งที่มองเห็นได้ ได้ยินเสียงได้หรือสัมผัสได้ด้วยกับประสาทสัมผัสดังกล่าว
เสียงที่เราไม่ได้ยิน
นิอฺมัตที่ใหญ่หลวงอย่างหนึ่งที่อัลลอฮฺประทานให้แก่พวกเราที่ปกติ คือ การมีอวัยวะการรับฟังและการได้ฟัง ดังที่อัลลอฮฺได้กล่าวในอัลกุรอานตอนหนึ่งให้เราสำนึกในบุญคุญใหญ่หลวงนี้ว่า เราได้เกิดจากท้องแม่โดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่อัลลอฮฺได้สร้างให้พวกเราได้ยิน ได้เห็น และมีปัญญา เพื่อที่พวกเราจะได้ซุกูร(อัน นะฮฺลิ78) แต่เสียงทุกเสียงที่เกิดขึ้นมนุษย์เราไม่สามารถรับฟังได้ทั้งหมด
ท่านหญิงอาอีชะห์ (ภรรยานบี) ได้เล่าว่า มีชายชราสองคนมาหาท่าน เป็นชาวยิวในมะดีนะฮฺ และกล่าวแก่ท่านว่า “ คนที่ถูกฝังในหลุมฝังศพกำลังถูกทรมานในหลุ่มกเขา ” ท่านกล่าวว่า “ ฉันก็ได้บอกว่าไม่จริง และฉันก็จะไม่เชื่อเขา ” และยิวทั้งสองก็ได้ออกไป ท่านนบี (ขออัลลอฮฺทรงประสาทพรแด่ท่าน) ได้มาหาฉัน ฉันก็เล่าว่า “ โอ้ รซูลุลอฮฺ มีชายชราสองคนเป็นยิวในมะดีนะฮฺมาหาฉัน และหลอกฉันว่าผู้ที่ถูกฝังในหลุมศพกำลังถูกทรมาน ” ท่านนบี (ซ็อลฯ) ตอบว่า “ ใช่ เขาทั้งสองได้กล่าวในสิ่งที่ถูกต้อง จริงๆ พวกเขาถูกทรมาน สัตว์จะได้เสียงนั้น ” ท่านอาอีชะฮฺก็เล่าต่อว่า “ หลังจากนั้น ทุกครั้งหลังเสร็จสิ้นจากการนมาซ ฉันไม่เคยเห็น ท่านนบีไม่ กล่าวขอคุ้มครองให้พ้นจากการทรมานในหลุมศพเลย ” รายงานโดยมุสลิม
จากรายงานบทนี้ทำให้เราทราบว่าบรรดาเซาะฮาบะฮฺได้รู้มา ตั้ง 1400 กว่าปีแล้วว่า นอกจากเสียงที่เราได้ยินที่ทำให้เราได้รับรู้มากมายหลายอย่าง สามารถดำรงชีวิตมาอย่างสงบสุข ยังมีเสียงอีกที่เราไม่ได้ยินแต่สัตว์บางชนิดจะได้ยิน
เสียง เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง จะอยู่ในรูปคลื่น และคลื่นเสียงเป็นคลื่นตามยาว (Longitudinal Wave) เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ จะเดินทางผ่านตัวกลางทั้งทีเป็นของแข็ง ของเหลวหรืออากาศ (แต่จะไม่มีการเคลื่อนที่ในสุญญากาศ) การเคลื่อนที่ของเสียงเป็นการเคลื่อนที่แบบคลื่น (Traveling Wave) ในการได้ยินของคนเรานั้น ต้องมีต้นกำเนิดเสียง ตัวกลางที่จะนำเสียง และหูที่เป็นเครื่องรับเสียง
ความถี่ของคลื่นเสียงที่มนุษย์ได้ยินจะอยู่ 20-20,000 Hz ถ้าต่ำกว่านี้หรือสูงกว่านี้มนุษย์ไม่สามารถได้ยินเสียงนั้นได้
คลื่นเสียงที่มีความถี่ต่ำมากๆ ต่ำกว่า 20 Hz เราเรียก คลื่นอินฟราโซนิค(Infrasonic) หรือคลื่นใต้เสียง และคลื่นที่ความถี่สูง สูงกว่า 20,000 Hz เรียกว่า คลื่นอุลตร้าโซนิค (Ultrasonic) หรือคลื่นเหนือเสียง
มีเสียงมากมายที่เราไม่ได้ยินซึ่งเราเรียกเสียงประเภทนี้ว่า “อุลตร้าซาวนด์” แต่เนื่องจากผลและปฏิกิริยาของเสียงเหล่านี้ทำให้เรารับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน อนึ่ง อุลตร้าซาวนด์ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์และอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลาย
ค้างคาวบางชนิดสามารถส่งเสียงที่มีคลื่นความถี่ถึง 100,000 Hz ความถี่เช่นนี้ค้างคาวจะส่งออกไปเป็นช่วงๆ และการสะท้อนกลับของคลื่นเสียงนี้ทำให้ค้างคาวสามารถรับรู้ว่าอะไรกีดขวางอยู่ หรือว่ารู้ว่าเหยื่ออยู่ตรงไหน จากการศึกษาในค้างคาวชนิด Eptesicus fuscus ในขณะบินอยู่ในอากาศพบว่าค้างคาวชนิดนี้จะส่งเสียงคลื่นสั้นๆ (หรือคลื่นความถี่สูง) ดัง คลิ๊ก..คลิ๊ก..ตลอดเวลาประมาณ 10 ครั่งต่อวินาที และจะเพิ่มเป็น 100 ครั้งต่อวินาทีเมื่อเข้าใกล้เหยื่อ เสียงนี้หูของคนเราไม่สามารถได้ยินได้ แต่สามารถรับรู้ได้โดยการใช้เครื่องมือพิเศษในการับฟัง
จากการศึกษาค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์พบว่ามนุษย์และสัตว์จะสร้างและรับความถี่ที่แตกต่างกัน อย่างเช่น
มนุษย์ สามารถสร้างความถี่ระหว่าง 80-1100 Hz. และสามารถรับฟังเสียงที่มีความถี่ 20-20000 Hz
สุนัข สามารถสร้างความถี่ระหว่าง 425-1800 Hz. และสามารถรับฟังเสียงที่มีความถี่ 15-50000 Hz
แมว สามารถสร้างความถี่ระหว่าง 760-1500 Hz. และสามารถรับฟังเสียงที่มีความถี่ 60-65000 Hz
ค้างคาว สามารถสร้างความถี่ระหว่าง 10-12000 Hz. และสามารถรับฟังเสียงที่มีความถี่ 15150-150000 Hz
ดังนั้น เราจึงสามารถสรุปได้ว่าเป็นการไม่ถูกต้องที่เราจะปฏิเสธสิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยสาเหตุเพียงเพราะว่าสิ่งนั้นมองเห็นไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องจากการมองไม่เห็นเป็นคนละเรื่องกับการไม่มีอยู่ อีกทั้งวิถีทางในการรับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งหนึ่งๆนั้น มิได้จำกัดอยู่เฉพาะการใช้สายตาหรือประสาทสัมผัสภายนอกอื่นๆ แต่ทว่าสติปัญญาก็สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งนั้นๆได้ด้วย