') //-->
ด้วยเหตุผลที่จะกล่าวต่อไปนี้ จะเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ สะกีฟะฮฺ นั้นนอกจากจะไม่ใช่ชูรอของมุสลิมทั้งหมดแล้ว ยังเป็นการปล้นสะดม ตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) เพื่อให้บางคนไปถึงยังตำแหน่งการเป็นผู้นำ
๑. อุมัรฺ ขณะที่เดินทางไปสะกีฟะฮฺนั้นไม่ได้บอกให้คนอื่นทราบ นอกจากกระซิบกระซาบให้อบูบักรฺรู้เพียงคนเดียว ขณะที่อบูบักรฺนั้นอยู่กับศ่อฮาบะฮฺอีกหลายคนที่บ้านของท่านศาสดา พร้อมทั้งอิมามอะลี เขาไม่ได้บอกใครและแอบย่องหนีออกไปโดยลืมความเศร้าที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เพิ่งจะจากไป เขาได้ทิ้งร่างอันบริสุทธิ์ของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) แล้วรีบเดินทางไปสะกีฟะฮฺทันที ถ้าพวกเขาไม่ได้เตรียมแผนการร้ายไว้ก่อนล่วงหน้า ทำไมอบูบักรฺจึงไม่บอกกับอุมัรฺล่ะว่า เราทำเช่นนั้นไม่ได้ เราต้องบอกตระกูลบนีฮาชิม และเซาะฮาบะฮฺคนอื่น ๆ และจัดการฝังร่างของท่านศาสดาให้เรียบร้อยเสียก่อนหลังจากนั้นค่อยจัดการเรื่องการสรรหาตัวเคาะลิฟะฮฺ
ชูรอในครั้งนี้มีตัวแทนจากเผ่าเพียงแค่สามคน และแต่ละคนก็เสนอให้คนในเผ่าของตนเป็นผู้นำ มีการเชือดเฉือนกันด้วยคำพูด มีการขู่กรรโชก ใช้เล่ห์เพทุบายต่างๆ ในการหลอกลวงฝ่ายตรงข้าม มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในหมู่พวกเขา ได้มีการบังคับด้วยการกระทำและคำพูดเพื่อให้ฝ่ายตนเป็นฝ่ายชนะ ไม่มีการแจ้งให้ผู้รู้ทราบก่อนล่วงหน้า และถ้ามีผู้ใดขัดขวางต้องถูกจัดการขั้นเด็ดขาดและพวกเขาจะพูดว่า พวกท่านได้ขัดแย้งกับสมาคมมุสลิมผู้ปรับปรุงแก้ไขสังคมอิสลาม ดังนั้นท่านต้องถูกประหารชีวิต หรือถูกเนรเทศไปอยู่ต่างแดน
การประชุมเกี่ยวกับเรื่องสำคัญเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ศ่ออาบะฮฺชั้นแนวหน้าทราบดอกหรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนีฮาชิมที่มีท่านอิมามอะลี (อ.) เป็นผู้นำ
๒. สะกีฟะฮฺ ที่ประชุมเลือกเคาะลิฟะฮฺอิสลามมีความละม้ายคล้ายคลึงกับสนามฟุตบอล แต่ไม่มีการเลือกสรรของคู่ต่อสู้ พวกเขาได้พ่ายแพ้ด้วยความเจ็บปวด หลังจากที่อบูบักรฺ ได้ใช้คำพูดที่แอบแฝงด้วยเล่ห์เพทุบายจบลง เขาได้พูดกับพวกอันศอรฺว่า นี่คืออุมัรฺ และนี่คืออบูอุบัยดะฮฺ พวกท่านจะให้บัยอัตกับใครก็ได้ คำพูดของอบูบักรฺเป็นการบังคับไปในตัวว่าเคาะลิฟะฮฺจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสองคนนี้ ขณะที่สองคนได้รับลูกส่งของอบูบักรฺ และรีบส่งกลับคืนไปให้อบูบักรฺทันทีพร้อมกับพูดว่า มีท่านอยู่แล้วพวกเราจะมีความหมายอะไร ซึ่งอหฺลิซซุนนะฮฺได้เรียกการเล่นฟุตบอลแบบเด็กๆ นี้ว่าชูรออิสลาม
๓. หลังจากเหตุการณ์สะกีฟะฮฺผ่านไปได้ไม่กี่ปี อุมัรฺได้ขึ้นมาเป็นเคาะลิฟะฮฺ โดยไม่ได้ผ่านระบบชูรอ เขาได้พูดบนมิมบัรฺว่า ฉันได้ยินบางคนพูดว่าหาก อุมัรฺ ตายฉันจะให้บัยอัตกับคน ๆ หนึ่งและยังมีคนพูดว่า “การบัยอัตกับอบูบักรฺไม่ได้มีการปรึกษาหารือ หรือคาดการไว้ล่วงหน้าถือว่าพูดถูกแล้ว”
ถูกต้องที่การบัยอัตกับอบูบักรฺ เป็นเรื่องฉับพลันทันด่วน และไม่มีการคาดคิดมาก่อน ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปกป้องความชั่วของมัน แต่ทว่าในหมู่ของพวกท่านก็ไม่มีใครดีไปกว่าท่านอบูบักรฺ พอที่จะปฏิบัติตามได[1]
ถ้าชูรอมีบทบาทจริง และบรรดาศ่อฮาบะฮฺชั้นแนวหน้าทั้งหลายได้มีการออกเสียงอย่างเสรี การบัยอัตกับอบูบักรฺก็คงไม่ใช่เรื่องฉับพลันทันด่วน ที่ปราศจากการคาดการล่วงหน้า หรือไม่ได้มีการปรึกษาหารือกันมาก่อนอย่างแน่นอน
๔. อุมัรฺได้พูดว่า หลังจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) อะลี ซุเบรฺ และพวกพร้องของพวกเขาได้ขัดแย้งกับพวกเรา พวกเขาได้มารวมตัวกันที่บ้านของฟาฏิมะฮฺ[2] ตรงนี้มีคำถามว่า ภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจริงนั้นเราจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นได้หรือไม่ ทั้งที่ท่านอุมัรฺได้เป็นผู้พูดเองถึงความขัดแย้งนั้น และอย่างนี้หรือที่เรียกว่าเป็นการประชุม
๕. สมมติว่าเรื่องตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺวางอยู่บนพื้นฐานของการประชุม ก่อนที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จะจากไปท่านต้องกล่าวถึง หรือมีการบ่งบอกสัญลักษณ์ต่างๆ ไว้บ้าง แต่ไม่เคยปรากฏให้เห็นว่าท่านศาสดา (ซ็อล ฯ)ได้ทำเช่นนั้น และเป็นไปได้หรือที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จะลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ ขณะที่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับอหฺกามอิสลามท่านได้อธิบายไว้อย่างละเอียด สติปัญญาทั่วไปสามารถยอมรับได้ไหมว่าท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จะทำเช่นนี้
เป็นที่ประจักษ์ว่าในสังคมมนุษย์นั้นมีการช่วงชิงการเป็นผู้นำกันอย่างออกหน้าออกตา ผู้ที่มีความทะยานยากในการเป็นผู้นำจะทำทุกอย่างเพื่อให้ตนได้รับตำแหน่งนั้นมา ในบางครั้งมีการเข่นฆ่าชีวิตกันโดยไม่คำนึงคุณธรรมและมโนธรรมว่าจะเป็นอย่างไร ขอเพียงให้ตนได้เป็นผู้ปกครองเท่านั้นก็เพียงพอ
คนกลุ่มนี้ก็มีลักษณะเช่นนั้นเหมือนกัน พวกเขาได้หยิบฉวยโอกาสขณะที่คนอื่นกำลังมีความทุกข์โดยไม่คำนึงว่าผลที่จะเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร จะดีกว่าคนอื่นตรงที่ว่าพวกเขายังไม่ได้ลืมอัลลอฮฺ และรอซูลเท่านั้น
พวกเขาได้รวมตัวกันที่สะกีฟะฮฺ โดยกล่าวอ้างเพื่อพิทักษ์อิสลามและความถูกต้อง ขณะที่ผู้ที่ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของอิสลาม และคำสอนของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ก็เป็นคนกลุ่มดังกล่าวนี้เอง
จะขอยกตัวอย่างเหตุการณ์บางอย่างที่ได้เกิดขึ้นในช่วงที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เจ็บหนัก เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าพวกเขาได้ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านศาสดามากน้อยเพียงใด
ขณะที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กำลังเจ็บหนักอยู่นั้นท่านได้แต่งตั้งให้ อุษามะฮฺ บิน ซัยด์ ซึ่งเป็นคนหนุ่มที่สุดเป็นแม่ทัพนำทัพออกไปยัง บูเตะฮฺ[3]
ในกองทัพของอุษามะฮฺ ประกอบไปด้วยกลุ่มของมุฮาญิรีน และอันศอรฺซึ่งมีท่านอบูบักรฺ อุมัรฺ อบูอุบัยดะฮฺ ญัรฺรอห์ และศ่อฮาบะฮฺคนอื่นๆ ร่วมอยู่ด้วย
ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้เตือนสำทับและย้ำเน้นหลายครั้งว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องร่วมทัพไปกับอุษามะฮฺ ท่านอุษามะฮฺได้เรียนกับท่านศาสดาว่า “ขออนุญาตให้ฉันไปตามลำพังเถิด และขอให้อัลลอฮฺทรงโปรดให้ท่านได้หายป่วยโดยเร็ว”
ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า “จงออกไปเถิด ด้วยกับพระนามของอัลลอฮฺ”
อุษามะฮฺ ถ้าฉันได้ออกไปยังโรมและกองทัพอยู่ในอันตราย ประกอบกับท่านเจ็บหนักเช่นนี้ มันจะทำให้ฉันลำบากใจอย่างยิ่ง
ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า ออกไปเถิด เธอจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน
อุษามะฮฺ ฉันไม่ชอบเลยที่จะเดินทางไกลขณะที่ท่านนั้นเจ็บหนักเช่นนี้
ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ฉันสั่งให้เธอทำสิ่งใดก็จงทำไปตามนั้นเถิด
ในเวลานั้นท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้หมดสติไป เมื่อท่านได้ฟื้นขึ้นมาได้กล่าวว่า ขออัลลอฮฺทรงสาปแช่งบุคคลที่ไม่ยอมออกทัพร่วมกับอุษามะฮฺ และบุคคลที่ได้ละทิ้งเขา[4] อย่างไรก็ตามอบูบักรฺ และอุมัรฺได้ละทิ้งกองทัพของอุษามะฮฺและเดินทางกลับมายังมะดีนะฮฺ
ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้นอนเจ็บในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตอันจำเริญของท่าน และในช่วงนั้นท่านได้สั่งให้เอากระดาษและปากกามาให้ ท่านต้องการบันทึกสิ่งหนึ่งแก่ประชาชาติเพื่อจะได้ไม่หลงทางตลอดไปหลังจากท่าน แต่ทว่าบางคนที่อยู่ ณ ที่นั้นได้พูดว่า “ท่านศาสดาเพ้อเสียแล้ว”[5]
อิบนุอับบาสพูดว่า “ฉันได้เข้าไปหาอุมัรฺในช่วงแรกที่เขาได้เป็นเคาะลิฟะฮฺ เขาได้ถามฉันว่า
อุมัรฺ ตอนนี้ท่านยังติดว่าเขา (อะลี) เป็นเคาะลิฟะฮฺอยู่หรือไม่
อิบนุอับบาส แน่นอนอะลีคือเคาะลิฟะฮฺ
อุมัรฺ ท่านคิดว่าท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้แต่งตั้งเขาไว้หรือเปล่า
อิบนุอับบาส แน่นอน หลายต่อหลายครั้งที่ฉันได้ถามจากบิดาของฉัน บิดาของฉันตอบว่า อะลีคือผู้สัจจริง
อุมัรฺ ขณะที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เจ็บหนักอยู่นั้นท่านได้ร้องขอกระดาษและปากกา แต่ฉันได้เป็นคนห้ามเอาไว้
ประโยคที่ท่านอุมัรฺได้พูดขัดขวางนั้นเป็นที่ชัดเจนของคนทั่วไปเพราะทั้งหมดได้ยิน และประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกว่า อุมัรฺ ได้พูดว่า “ท่านศาสดาเพ้อไปเสียแล้ว”
คำถาม ท่านทั้งหลายคิดว่า ท่านอุมัรฺนั้นรู้ดีกว่าท่านศาสดากระนั้นหรือ ท่านอุมัรฺเข้าใจอิสลามได้ดีกว่าท่านศาสดาหรือถึงไม่ยอมให้ท่านบันทึกสิ่งสำคัญที่สุดในอิสลาม
ฉะนั้นคำพูดของอุมัรฺสามารถสรุปได้ดังนี้
-ท่านอุมัรฺ ได้มีการวางแผนการณ์ และใช้เล่ห์กลปฏิเสธเคาะลิฟะฮฺของท่านศาสดานับตั้งแต่วันที่ท่านศาสดาเจ็บหนักเรื่อยมา ทว่าก่อนหน้านี้เขาก็ได้แสดงท่าทีที่ไม่สมควรมาโดยตลอด ซึ่งตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺนั้นเองเป็นตัวการสำคัญ และสิ่งนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า อุมัรฺคือผู้ลุ่มหลงในลาภยศ
ด้วยกับความทะเยอทะยานที่อยากจะเป็นเคาะลิฟะฮฺนั้นเอง อุมัรฺได้ทำลายขวากหนามทุกอย่างที่ขวางทางไปสู่ตำแหน่งของตน ดังจะเห็นได้ว่า สะอฺดิบนิ อิบาดะฮฺ ไม่เห็นด้วยกับการเป็นเคาะลิฟะฮฺของอบูบักรฺ และไม่ได้ให้บัยอัตกับอบูบักรฺจนสิ้นชีวิต อุมัรฺได้ฆ่าเขาและบอกว่าญินเป็นคนฆ่า หรือเรื่องราวของ มาลิก บิน นุวัยเราะฮฺ เป็นคนที่มีอีมานจนกระทั่งท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้กล่าวถึงเขาว่า “ใครก็ตามที่ต้องการดูชายแห่งสรวงสวรรค์ให้มองดูใบหน้าของมาลิก” มาลิกคือบุคคลที่ได้ยินว่าเคาะลิฟะฮฺ นั้นเป็นของท่านอะลีเมื่อท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้จากไปเขาได้เดินทางมามะดีนะฮฺ และได้พบว่าตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺของท่านอะลีถูกปล้นสะดมไป เขาได้แสดงการต่อต้าน ในที่สุด คอลิด บิน วะลีด ได้ถูกเคาะลิฟะฮฺส่งไปเก็บซะกาตที่ นุวัยเราะฮฺ ในค่ำคืนนั้นเขาได้ให้ที่พักพิง และอาหารแก่วะลีด แต่สันดานของคนกักขฬะ และอกตัญญูในตอนกลางคืน วะลีดได้สังหารนุวัยเราะฮฺตามคำสั่งที่ได้รับมา และข่มขืนภรรยาเขาจนสำเร็จความใคร่ แต่เมื่อเรื่องเปิดเผยขึ้นเคาะลิฟะฮฺไม่ได้ลงโทษ หรือทำทัณฑ์บน หรือไม่ได้มีมาตรการอันใดที่จะจัดการกับวะลีดแม้แต่อย่างเดียว
อีกอย่างหนึ่งที่อุมัรฺได้กระทำเพื่อเป็นการเสริมความมั่นคงให้กับการขึ้นสู่ตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺของตนคือ การยึดสวนฟะดัก จากท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) ฟะดักเป็นดินแดนที่เขียวขจีอุดมไปด้วยต้นอินทผลัม ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) และท่านหญิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในสวนดังกล่าว
อบูบักรฺ ได้ทำการตรวจค้นและขับไล่คนสวนของท่านหญิงออกจากสวน ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) โกรธมากเธอได้ทำการวิพากษ์กับอบูบักรฺ และอบูบักรฺได้ยอมจำนนด้วยเหตุผลพร้อมกับคืนโฉนดสวนให้กับท่านหญิง (อ.)
แต่ทว่าอุมัรฺได้แย่งโฉนดไปฉีกทิ้ง[6] โดยที่อบูบักรฺไม่ได้ว่ากล่าวตักเตือนอุมัรฺแม้แต่นิดเดียว และในที่สุดเขาก็ไม่ได้คืนสวนนั้นให้กับท่านหญิง
ดังนั้นสิ่งที่กล่าวมาเป็นการชี้ให้เห็นว่าเรื่องราวความเป็นมาของสะกีฟะฮฺ และการขึ้นสู่ตำแหน่งของอบูบักรฺ และอุมัรฺนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลในอิสลาม ขณะเดียวกันเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้ที่หลงโลก และหลงลาภยศตำแหน่งนั้นเป็นเช่นไร
[1] ฏ็อบรีย์ เล่มที่ ๔ จากหน้าที่ ๑๘๒๐-๑๘๒๓
[2] ฏ็อบรีย์ เล่มที่ ๔ หน้าที่ ๑๘๒๒
[3] ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของโรมในสมัยนั้น
[4] ชัรฮฺนะญุลบะลาเฆาะฮฺ อิบนิ อบิลหะดีด เล่มที่ ๒ หน้าที่ ๒๑ พิมพ์ ๔ เล่ม
[5] ตารีคฏ็อบรีย์ เล่มที่ ๔ หน้าที่ ๑๘๖ , ศ่อฮีมุสลิม กิตาบอัล-วะศียะฮฺ ได้บันทึกจากคำพูดของอุมัรฺ ซึ่งเขาพูดว่า غلب عليه الوجع
[6] ซีเราะฮฺหะละบียะฮฺ เล่มที่ ๓ หน้าที่ ๔๐๐