') //-->
الَّذِي أَحْسَنَ كُلَّ شَيْءٍ خَلَقَهُ وَبَدَأَ خَلْقَ الْإِنسَانِ مِن طِينٍ ثُمَّ جَعَلَ نَسْلَهُ مِن سُلَالَةٍ مِّن مَّاء مَّهِينٍ
ความว่า :และพระองค์(อัลลอฮฺ)ทรงเริ่มการสร้างมนุษย์จากดิน แล้วทรงให้การสืบตระกูลของมนุษย์ จากสิ่งที่คัดจากน้ำ(อสุจิ)อันไร้ค่า (อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัล-สุจญะดะฮฺ 32/7-8)
คำว่า سُلاَلَةٍ หมายถึง สิ่งที่ถูกเลือกจากน้ำ และคำว่า مَّاء مَّهِينٍ หมายถึงน้ำที่อ่อนแอ[1] ไม่สามารถที่ทำร้ายหรือให้โทษแก่ใครได้ อิบนุ ฮะญะรฺ อัล-อัลอัสกอลานีได้กล่าวว่า سُلاَلَةٍ หมายถึง สิ่งหนึ่งที่ถูกนำออกจากอีกสิ่งหนึ่ง
อาดัมเป็นมนุษย์คนแรกอัลลอฮฺได้สร้างขึ้นจากดิน (ตามที่กล่าวมาในตอนต้น) ในการแพร่ขยายมนุษย์ให้สืบสกุลรุ่นแล้วรุ่นเล่า จนถึงทุกวันนี้ อัลลอฮฺได้กำหนดกระบวนการสืบสกุลของมนุษย์จากน้ำที่ไร้ค่า คือ น้ำอสุจิที่เต็มไปด้วยเซลล์อสุจินับล้านๆตัว และในการจะก่อกำเนิดเป็นมนุษย์นั้นมีอสุจิเพียงตัวเดียว(หรือหลายตัวในกรณีเป็นแฝดเทียม) ที่แข็งแรงที่สุด ซึ่งสามารถวิ่งได้เร็วและไกลผ่านมดลูกและท่อนำไข่ เพื่อไปปฏิสนธิกับไข่ที่ตกจากรังไข่ โดยการใช้หัวเจาะเข้าไปในเซลล์ไข่ เมื่อหัวของอสุจิตัวใดตัวหนึ่งเข้าไปในเซลล์ไข่แล้ว ไข่ก็จะหลั่งสารออกมาทำให้ผนังของเซลล์ไข่ ไม่เหมาะสมที่อสุจิตัวอื่นๆจะเจาะเข้าไปได้อีก ไข่ใบเดียว อสุจิตัวเดียว และมีการป้องกันไม่ให้ตัวอื่นเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยในการกำหนิดมนุษย์นี้ ในอัลกุรอานเรียกว่า سُلاَلَة (สุลาละฮฺ) ซึ่งสามารถแปลได้ว่า สิ่งที่ถูกคัดสรรมาจากน้ำอสุจินั้นเอง
ภาพขยายของเซลล์อสุจิ และภาพจำลองที่ให้เห็นลักษณะที่ประกอบด้วยส่วนหัวและหาง
สามารถแหวกว่ายในน้ำได้คลายกับปลา และคำว่า سُلاَلَة บางครั้งหมายถึงปลาตัวยาว[4]
เซลล์อสุจิจะวิ่งผ่านสารที่เป็นกรดอ่อนๆที่คอยสกัดกั้นตัวที่อ่อนแอในบริเวณช่องคลอดและมดลูก
คงไว้ตัวที่แข็งแรงที่ถูกคัดสรรแล้ววิ่งไปปฏิสนธิกับไข่บริเวณปีกมดลูก
ในแต่ละครั้งเซลล์สุจิจะถูกปล่อยออกมานับร้อยๆล้านตัว แต่จะมีตัวที่แข็งแรงไม่กี่ร้อยตัวที่สามารถวิ่งผ่านอุปสรรคจนถึงเซลล์ไข่บริเวณมดลูกได้ และจะมีเพียงตัวเดียวที่ที่สามารถผ่านเข้าไปผสมกับไข่
เฉพาะส่วนหัวของตัวเซลล์อสุจิจะผ่านผนังเซลล์ไข่เข้าไปในไข่ แล้วไข่ก็จะสร้างสารป้องกันไม่ให้เซลล์อสุจิตัวอื่นเจาะเข้าไปในไข่ได้อีก
ดังนั้นในไข่ 1 ใบ จะมีอสุจิ (ทีถูกเลือก) เพียงตัวเดียวเท่านั้นเข้าไปผสมกับไข่ และพัฒนาเป็นทารกต่อไป
إِنَّا خَلَقْنَا الْإِنسَانَ مِن نُّطْفَةٍ أَمْشَاجٍ
ความว่า : แท้จริงเราได้สร้างมนุษย์จากน้ำเชื้อผสมหยดหนึ่ง (อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัล-อินซาน 76/2)
أَمْشَاجٍ หมายถึง สิ่งที่ถูกผสมระหว่างกัน อิบนุอับบาส ได้กล่าวว่า ในคำตรัสของอัลลอฮฺ مِن نُّطْفَةٍ أَمْشَاجٍ หมายถึงน้ำของฝ่ายชายกับน้ำของฝ่ายหญิงเมื่อมีการพบกันและผสมกัน แล้วจะเปลี่ยนจากลักษณะหนึ่งไปสู่อีกลักษณะหนึ่งเป็นขั้นๆ[1]
อิบนุ มะรฺดะวียะฮฺ กล่าวว่า จากรายงานของอิบนุอับบาส ว่า คือการผสมกัน ได้กระดูก ประสาท และเส้นจากน้ำฝ่ายชาย และเลือด เนื้อ และเส้นผม จากน้ำฝ่ายหญิง[2]รายงานจากหะดีษ..
مَرَّ يَهُودِيٌّ بِرَسُولِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَهُوَ يُحَدِّثُ أَصْحَابَهُ فَقَالَتْ قُرَيْشٌ يَا يَهُودِيُّ إِنَّ هَذَا يَزْعُمُ أَنَّهُ نَبِيٌّ فَقَالَ لأَسْأَلَنَّهُ عَنْ شَيْءٍ لاَ يَعْلَمُهُ إِلاَّ نَبِيٌّ قَالَ فَجَاءَ حَتَّى جَلَسَ ثُمَّ قَالَ يَا مُحَمَّدُ مِمَّ يُخْلَقُ الإِنْسَانُ قَالَ يَا يَهُودِيُّ مِنْ كُلٍّ يُخْلَقُ مِنْ نُطْفَةِ الرَّجُلِ وَمِنْ نُطْفَةِ الْمَرْأَةِ فَأَمَّا نُطْفَةُ الرَّجُلِ فَنُطْفَةٌ غَلِيظَةٌ مِنْهَا الْعَظْمُ وَالْعَصَبُ وَأَمَّا نُطْفَةُ الْمَرْأَةِ فَنُطْفَةٌ رَقِيقَةٌ مِنْهَا اللَّحْمُ وَالدَّمُ فَقَامَ الْيَهُودِيُّ فَقَالَ هَكَذَا كَانَ يَقُولُ مَنْ قَبْلَك (رواه أحمد في اسنده
ความว่า : ยิวคนหนึ่งได้ผ่านหน้านบีซึ่งกำลังคุยอยู่กับสหายของท่าน คนกุรอยช์ก็ได้กล่าวแก่ยิวคนนั้นว่า “นี่ยิว คนๆนี้เขาอุปโลกน์ตัวเองว่าเป็นนบี (ศาสนทูต)” ยิวก็ตอบว่า “ฉันจะถามเขาสิ่งหนึ่ง สิ่งนี้ไม่มีผู้ใดตอบได้นอกจากนบี” และเขาก็ได้ถามนบีว่า “โอ้ มุฮำหมัด .. มนุษย์ถูกสร้างขึ้นจากสิ่งใด” ท่านนบี(ศอลฯ) ก็ตอบว่า “โอ้ ยิว .. มาจากหยดน้ำของผู้ชายและหยดน้ำของผู้หญิง หยดน้ำของผู้ชายเป็นหยดน้ำที่หยาบจะเป็นกระดูกและประสาท ส่วนหยดน้ำของผู้หญิงเป็นหยดน้ำที่ละเอียด จะเป็นเนื้อและเลือด ” ยิวก็ลุกขึ้นกล่าวว่า เช่นนี้แหละที่บุคคลก่อนหน้าเจ้า (นบีคนก่อนๆ)ได้บอกไว้. (รายงานโดย อิมามอะห์หมัด)
เป็นที่แน่ชัดและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่า ทารกที่คลอดออกมานั้นเป็นผลผลิตจากมนุษย์ทั้งสองเพศ ชายและหญิง ดังที่อัลกุรอานได้บอกไว้ในอายัต 13 สูเราะฮฺ อัล-ฮุญะรอต ว่า
يَا أَيُّهَا النَّاسُ إِنَّا خَلَقْنَاكُم مِّن ذَكَرٍ وَأُنثَى
ความว่า : โอ้มนุษย์.. แท้จริงเรา(อัลลอฮฺ)ได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชายและเพศหญิง (อัลกุรอาน 49/13)
อิมาม อิบนุก็อยยิม อัลเญาซี ได้กล่าวว่า “น้ำอสุจิจากฝ่ายชายไม่สามารถที่จะทำให้กำเนิดบุตรได้ และเช่นเดียวกันถ้าไปผสมกับส่วนอื่นของฝ่ายหญิง
คณะทำงานจาก วิทยาลัยแพทย์เวลส์ (Wales College of Medicine) ของมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ (Cardiff University) นำโดยคาร์ล สวานน์ (Karl Swann) เปิดเผยผ่าน นิว ไซแอนตีส ว่า เขาและทีมงานค้นพบวิธีการที่ทำให้ไข่ของฝ่ายหญิงสุกได้ โดยไม่ต้องผ่านการปฏิสนธิจากอสุจิของฝ่ายชาย และได้กล่าวอีกว่า ตัวอ่อนที่ได้จากการวิจัยนี้นี้ไม่เกี่ยวข้องกับโครโมโซมเพศชายแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่สามารถพัฒนาตัวเป็นทารกได้[4]
การผสมระหว่างน้ำฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงนี้ ซัยยิด กุฏุบ ได้กล่าวว่า เป็นไปได้ทั้งหมายถึงการผสมระหว่างเซลล์อสุจิจากฝ่ายชายและเซลล์ไข่จากฝ่ายหญิงหลังจากที่ทั้งสองเซลล์ได้เจอและปฏิสนธิกัน และเป็นการผสมระหว่างสารพันธุกรรมที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ในหยดน้ำ(ทั้งอสุจิและไข่) ที่รู้จักกันในชื่อยีน (Gene) สารพันธุกรรมที่ถ่ายทอดลักษณะต่างๆที่แตกต่างกันระหว่างมนุษย์ และลักษณะเดียวกันระหว่างบุคคลในครอบครัวเดียวกัน[5]
ร่างกายของมนุษย์จะประกอบเซลล์ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด เซลล์ในร่างกายมนุษย์จะมี 2 ประเภท คือ เซลล์ร่างกาย (Somatic Cell) และเซลล์สืบพันธุ์ (Sex Cell)
เซลล์ร่างกาย หมายถึงที่เสริมสร้างส่วนต่างๆของร่างกาย มีหลายชนิด ได้แก่ เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ผิวหนัง เซลล์กระดูก เซลล์ประสาท เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว เป็นต้น เซลล์เหล่านี้จะเจริญเติบโตจากเซลล์แรกเพียงเซลล์เดียวที่เกิดขึ้นจากการปฏิสนธิ(أمشاج)ระหว่างอสุจิและไข่ แล้วจะมีการแบ่งแบบไมโทซีส(Mitosis) จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปด... ในนิวเคลียสของเซลล์จะมีโครโมโซม ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่งๆ จับคู่จำนวน 46 แถบหรือ 23 คู่ จะเป็นโครโมโซมที่มียีนกำหนดลักษณะทั่วๆ จำนวน 22 คู่ และยีนที่กำหนดลักษณะเพศชายหรือหญิงจำนวน 1 คู่เรียกว่า โครโมโซมเพศ
โครโมโซมเพศจะกำหนดเป็นสัญลักษณ์ X กับ Y ถ้าคู่สุดท้าย (คู่ที่ 23) เป็น XX จะเพศผู้หญิง และถ้าเป็น XY ก็จะเป็นเพศชาย
เซลล์อีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า เซลเพศหรือเซลล์สืบพันธุ์ มีลักษณะเหมือนเซลล์ทั่วไปแต่มีการแบ่งแบบไมโอซีส(Meiosis) จะทำให้เซลล์เหล่านี้ (เซลล์อสุจิและเซลล์ไข่) จะมีจำนวนโครโมโซมเพียงครึ่งหนึ่ง คือ 23 แถบ แถบสุดจะกำหนดเป็นลักษณะ X หรือ Y
ถ้าเป็นเซลล์อสุจิจะมีโครโมโสมแถบสุดท้าย มีทั้ง X และ Y
ถ้าเป็นเซลล์ไข่จะมีโครโมโสมแถบสุดท้ายเป็น X เท่านั้น
เมื่อมีการปฏิสนธิ ระหว่างเซลล์อสุจิและเซลล์ไข่ ( نُّطْفَةٍ أَمْشَاجٍ ) จำนวนโครโมโซมของทั้งสองก็จะมารวมกัน จะเป็น 46 แถบ หรือ 23 คู่ ถ้าคู่สุดท้ายเป็น XY เด็กที่คลอดออกมาก็จะเป็นชาย และถ้าเป็น XX เด็กที่คลอดออกมาก็จะเป็นหญิง
แล้วมีการแบ่งตัวจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี...เป็น Embryo ... จนคลอดออกมาเป็นเด็ก
กำหนดเพศ
อัลกุรอาน อายัตที่ 45- 46 สูเราะฮฺ อัน-นัจมฺ ...
وَأَنَّهُ خَلَقَ الزَّوْجَيْنِ الذَّكَرَ وَالأُنْثَى، مِنْ نُطْفَةٍ إِذَا تُمْنَى
ความว่า : และแท้จริงพระองค์(อัลลอฮฺ)ทรงสร้างสามีภรรยาคู่หนึ่ง เป็นเพศชาย และเพศหญิง จากหยดน้ำที่หลั่ง(เข้าสู่มดลูก) (อัลกุรอาน 53/45-46)
อัลลอฮฺทรงสร้างมนุษย์เป็นชีวิตคู่ เป็นเพศชายและเพศหญิง ซึ่งมนุษย์ทั้งสองเพศนี้อัลลอฮฺสร้างมาจากหยดน้ำ ที่เป็นทั้งหยดน้ำอสุจิที่ประกอบด้วยตัวเซลล์อสุจิ และหยดน้ำที่มาในรูปของเซลล์ไข่ ทั้งสองเซลล์นี้จะมีแถบโครโมโซมเพียงครึ่งหนึ่ง คือ 23 แถบ เซลล์อสุจิจะมีโครโมโซมแถบสุดท้ายที่เรียกว่าโครโมโซมเพศเป็น X หรือ Y ส่วนเซลล์ไข่จะมีโครโมโซมเพศ เป็น X เท่านั้น
หลังจากมีการร่วมเพศระหว่างพ่อกับแม่แล้ว อสุจิก็จะเคลื่อนเข้าสู่ช่องคลอด มดลูกและเข้าไปสู่ท่อนำไข่ มดลูกและท่อนำไข่จะหดตัวและกระตุ้นให้อสุจิเคลื่อนที่ไปได้เร็วขึ้น เซลล์อสุจิจะเคลื่อนที่โดยใช้พลังงานงานที่สะสมไว้บริเวณลำตัวและหาง และโดยการทำงานของขนพัดโบกในมดลูกและปีกมดลูก ลื่นไหลไปตามท่อนำไข่อย่างที่เราเรียกว่า น้ำที่ฉีดพุ่ง(ماء دافق) (ซูเราะฮฺ อัฏฏอริก อายะฮฺที่
อสุจิจะอยู่ในอวัยวะเพศหญิงได้เพียง 12 – 24 ชั่วโมง อสุจิหลายล้านตัวจะอยู่บริเวณช่องคลอด มีเพียงเพียงไม่กี่ร้อยตัวที่สามารถวิ่งเข้าไปตามท่อรังไข่ได้ และมีเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ผ่านชั้น Zona pellucida ที่ห่อหุ้มเซลล์รังไข่โดยอาศัยเอมไซดจากอะโครโซม(Acrosome containing enzymes) ที่ส่วนหัวของอสุจิ เมื่อหัวของอสุจิตัวใดตัวหนึ่งเข้าไปในเซลล์ไข่แล้ว ไข่ก็จะหลั่งสารออกมาทำให้ Zona pellucida ไม่เหมาะสมที่อสุจิตัวอื่นๆจะเจาะเข้าไปได้อีก เป็นการป้องกันไม่ให้ไข่ผสมกับอสุจิหลายเซลล์(Polyspermy) อย่างที่เราเรียกว่า อสุจิที่ได้เข้าไปผสมกับไข่นั้นเป็นเซลล์ที่ถูกเลือกสรรจากหยดน้ำอสุจิ (سلالة من ماء مهين) (ซูเราะฮฺ อัซซะญะดะฮฺ อายะฮฺที่ 8)
เมื่ออสุจิเคลื่อนที่ผ่านเปลือกหุ้มไข่ไปได้แล้ว เซลล์อสุจิก็จะเคลื่อนที่ช้าๆในไซโตพลาซึมของไข่ โดยไม่นำหางไปด้วย โครโมโซมของทั้งสองเซลล์จะรวมกัน ขบวนการนี้เรียกว่า ขบวนการปฏิสนธิ (Fertilization) ซึ่งจะเกิดขึ้นในบริเวณท่อนำไข่ ในขั้นแรกโครโมโซมของแต่ละเซลล์จะรวมตัวกันเป็นกระจุกเดียวกันก่อน แล้วจะเคลื่อนที่มาตรงกลางและเชื่อมกั้นเป็นโครโมโซม 23 คู่(46 แถบ) และไข่ที่ผสมแล้วนี้ เรียกว่า ไข่ปฏิสนธิ(Zygote) หรือที่เราเรียกว่า หยดน้ำที่ผสม (أمشاج) (ซูเราะฮฺ อัลอินซาน อายะฮฺที่ 2) โครโมโซมคู่สุดท้ายจะเป็นคู่ที่กำหนดว่าเซลล์ที่จะพัฒนาต่อไปจะเป็นทารกเพศชายหรือเพศหญิง ที่เรียกว่าโครโมโซมเพศ ถ้าทารกมีโครโมโซมเพศเป็น XY จะเป็นเพศชายแต่ถ้าโครโมโซมเพศเป็น XX จะเป็นเพศหญิง โครโมโซมที่จะเป็นตัวกำหนดเพศของทารกว่าจะเป็นชายหรือหญิง คือ โครโมโซมจากตัวอสุจิของฝ่ายชาย เพราะจะมีทั้ง โครโมโซม X และโครโมโซม Y ตามที่กล่าวมาข้างต้นรายงานจากหะดีษนบี(ศอลฯ) ว่า นักบวชยิวผู้หนึ่งได้เข้าไปทักทายนบีและกล่าวว่า
: جِئْتُ أَسْأَلُكَ عَنْ الْوَلَدِ قَالَ مَاءُ الرَّجُلِ أَبْيَضُ وَمَاءُ الْمَرْأَةِ أَصْفَرُ فَإِذَا اجْتَمَعَا فَعَلاَ مَنِيُّ الرَّجُلِ مَنِيَّ الْمَرْأَةِ أَذْكَرَا بِإِذْنِ اللهِ وَإِذَا عَلاَ مَنِيُّ الْمَرْأَةِ مَنِيَّ الرَّجُلِ آنَثَا بِإِذْنِ اللهِ قَالَ الْيَهُودِيُّ لَقَدْ صَدَقْتَ وَإِنَّكَ لَنَبِيٌّ ثُمَّ انْصَرَفَ فَذَهَبَ فَقَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَقَدْ سَأَلَنِي هَذَا عَنْ الَّذِي سَأَلَنِي عَنْهُ وَمَا لِي عِلْمٌ بِشَيْءٍ مِنْهُ حَتَّى أَتَانِيَ اللهُ بِهِ
ความว่า : ฉันมาเพื่อถามท่านเกี่ยวกับ(การกำเนิด)เด็ก ท่านนบีก็ตอบว่า “น้ำของฝ่ายชายสีขาวและของฝ่ายหญิงสีเหลือง เมื่อทั้งสองได้รวมกัน ถ้าน้ำฝ่ายชายเหนือกว่าน้ำฝ่ายหญิงก็จะเป็นชาย ด้วยความประสงค์ของอัลลอฮฺ และถ้าน้ำฝ่ายหญิงเหนือกว่าฝ่ายชายก็จะเป็นหญิงด้วยความประสงค์ของอัลลอฮฺ” ยิวคนนั้นก็ตอบว่า “ถูกต้อง แน่แท้ท่านคือนบี” แล้วเดินจากไป ท่านรอซูลุลอฮฺ(ศอลฯ) กล่าวว่า “เขาได้ถามฉันในสิ่งที่ฉันไม่รู้เลย จนกระทั่งอัลลอฮฺได้สอนฉันในเรื่องนี้” (บันทึกโดย มุสลิม)
หะดีษนี้ ทำให้เข้าใจได้ว่า การกำหนดเพศนั้นอยู่ที่ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ถ้าน้ำอสุจิของฝ่ายชายมีอิทธิพลเหนือกว่าน้ำของฝ่ายหญิง ทารกที่คลอดออกมาก็จะมีเพศเป็นชาย และในตรงกันข้ามถ้าน้ำของฝ่ายหญิงมีอิทธิพลเหนือกว่าน้ำอสุจิของฝ่ายชาย ทารกที่คลอดออกมาก็จะมีเพศเป็นหญิง แต่จากกรณีโครโมโซมข้างต้นนั้นเซลล์อสุจิของฝ่ายชายเท่านั้นที่เป็นตัวแปรกำหนดเพศของทารกจะเป็นชายหรือหญิง ดังนั้นอาจจะมองว่า หะดีษนี้ไม่ตรงกับข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่จริงๆแล้ว หะดีษนี้เป็นความรู้ที่นบีเองก็ไม่รู้มาก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺมาสอนท่านจึงสามารถตอบชายยิวคนนั้นได้ ซึ่งเป็นที่ยืนยันได้ว่า หะดีษถูกต้องและเป็นความจริงไม่สามารถที่จะลบล้างได้ แต่ในเวลาเดียวกันความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นอื่นได้ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน เพียงแต่ว่า ในการตีความหมายหะดีษอาจจะตีความหมายไปในอีกมุมมองอื่นเลยทำให้ดูเหมือนว่าหะดีษกับวิทยาศาสตร์ไม่สอดคล้องกัน
ในหะดีษนี้ นบี(ศอลฯ) กล่าวถึงน้ำของฝ่ายที่มีอิทธิพลเหนือกว่าน้ำของฝ่ายหญิง นั้นหมายถึงอสุจิสามารถฝันฝ่าอุปสรรคต่างๆทั้งในช่องคลอด โพรงมดลูก ท่อนำไข่ จนกระทั้งสามารถเจาะเข้าไปผสมกับไข่ได้ ทารกที่คลอดออกมานั้นเป็นชาย แต่ถ้าน้ำของฝ่ายหญิงที่เป็นสารในลักษณะต่างๆมีอิทธิพลเหนือกว่าอสุจิทารกที่คลอดออกมาก็จะเป็นหญิง
อสุจิที่มีโครโมโซมเพศ เป็น X ตัวรีและใหญ่ หางสั้น เคลื่อนไหวช้า ทนสภาพเป็นกรดได้ดี จะเป็นตัวกำหนด เพศหญิง
อสุจิที่มีโครโมโซมเพศ เป็น Y ตัวจะเล็ก หางยาว เคลื่อนไหวรวดเร็ว ชอบสภาพความเป็นด่าง มีอายุสั้นกว่าอสุจิโครโมโซมเพศที่เป็น X และจะเป็นตัวกำหนดเพศชาย
อสุจิที่ถูกหลั่งเข้าสู่ช่องคลอดของฝ่ายหญิง จะต้องวิ่งผ่านด่านที่มีสภาพเป็นเป็นกรด ฉะนั้นอสุจิที่มีโครโมโซมเพศเป็น Y จะต้องเป็นตัวที่แข็งแรงมากถึงจะวิ่งผ่านเข้าโพรงมดลูกได้ นั้นหมายถึงน้ำของฝ่ายชาย(อสุจิ)มีอิทธิพลเหนือกว่าน้ำของฝ่ายหญิง (علا مني الرجل مني المرأة)อสุจิโครโมโซม Y ก็สามารถเข้าร่วมกับไข่ที่มีโครโมโซมเพศเป็น X เซลล์ที่ได้จากการปฏิสนธิก็จะมีโครโมโซมเพศเป็น XY ทารกที่คลอดออกมาก็จะเป็นชาย
วันไหนที่อสุจิโครโมโซม Y ไม่มีความสามารถพอ ก็ไม่สามารถวิ่งผ่านด่านที่เป็นสารต่างๆในชองคลอดและมดลูกได้ อสุจิโครโมโซม X ก็จะเป็นตัวที่เข้าไปผสมกับไข่ โครโมโซมเพศของทารกที่คลอดออกมาก็จะเป็น XX ซึ่งเป็นเพศหญิง นั่นหมายถึงน้ำฝ่ายหญิงมีอิทธิพลเหนือกว่าน้ำฝ่ายชาย (علا مني المرأة مني الرجل) จากคุณสมบัติที่แตกต่างของน้ำฝ่ายหญิง(ไข่)และน้ำฝ่ายชาย(อสุจิ)ที่แตกต่างกันนี้ทำให้นักวางแผนครอบครัวนำมาเสนอเป็นแนวทางการเลือกเพศของบุตรที่จะเกิดขึ้น เช่น ทำให้ช่องคลอดมาสภาพเป็นด่าง จะได้ลูกเป็นเพศผู้ เพราะอสุจิไม่ชอบกรด