มารดาของบิดาของเธอ

จากวจนะอันทรงคุณค่าอมตะของท่านศาสนทูตที่ได้กล่าวไว้ถึงสิทธิของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ก็คือวจนะที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งท่านได้กล่าวว่า “ฟาฏิมะฮ์คือมารดาของบิดาของเธอ”(14) บิฮารฺ อัลอันวาร เล่มที่ 43 หน้า 19,อ ะวาลิม อัซซะฮ์รออิ หน้า69, อัตตะติมมะฮ์ ฟีตารีค อัลอะอิมมะฮ์ ของซัยยิด ตาญุดดีน บุตรของอะลี อัลฮุซัยนีย์ อัลอามิลีย์ หน้า 40 พิมพ์ที่ มุอัซซะซะตุ อัลบิอฺษะฮ์ กุม อิหร่าน ปี 1412

แต่เพื่อที่เราจะได้เข้าใจความหมายที่ละเอียดอ่อนของคำ ๆ นี้ จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องทำการศึกษาถึงชีวประวัติของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ และความเดือดร้อนรวมถึงความยากลำบากที่ท่านได้ประสบมาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของชีวิต เพราะท่านนั้นได้ประสบกับความทุกข์ยากอย่างมากมาย จากการข่มเหงของบรรดาผู้ตั้งภาคี จนถึงขนาดที่ท่านได้กล่าวว่า “ไม่มีศาสดาท่านใดที่เคยถูกทำร้ายเหมือนกับที่ฉันถูกทำร้าย”(15) บิฮารฺ อัลอันวาร เล่มที่ 39 บาบที่ 73 ริวายะฮ์ที่ 15

และความโศกเศร้าที่ท่านต้องประสบจากการสูญเสียภรรยาของท่าน นั่นคือท่านหญิงค่อดีญะฮ์มารดาแห่งศรัทธาชน ผู้เป็นเสมือนที่พำนักและให้ความปลอดภัยแก่ท่าน ซึ่งท่านจะได้พำนักพักพิงหลังจากที่ท่านต้องตรากตรำกับสิ่งที่ท่านต้องพบเจอจากกลุ่มชนของท่าน อีกทั้งสิ่งที่ท่านต้องประสบจากการสูญเสียท่านอบูฏอลิบผู้เป็นลุงของท่าน ซึ่งเคยเลี้ยงดูท่าน คอยปกป้องและยืนอยู่เคียงข้างท่าน อีกทั้งความยากลำบากที่ท่านต้องประสบจากสภาพความเป็นเด็กกำพร้าที่ฝังอยู่ในความรู้สึกของท่าน เพราะว่าท่านต้องกำพร้าพ่อในขณะที่ท่านยังอยู่ในครรภ์ของมารดา และท่านต้องกำพร้าแม่ในขณะที่ท่านยังเป็นทารกน้อย ดังนั้น ท่านจึงไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากบิดา และขาดความเอื้ออาทรจากมารดา

และเราก็ต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่า ความรักเอื้ออาทรของผู้เป็นมารดานั้น จะเป็นสิ่งที่ให้น้ำหล่อเลี้ยงแก่ดวงใจของทารกเสมือนกับน้ำที่หล่อเลี้ยงผืนดินที่แห้งแล้ง และให้อาหารแก่จิตวิญญาณของทารกโดยที่เขาจะไม่สามารถล่วงรู้ถึงคุณค่าของมันจนกระทั่งเขาผู้นั้นได้เติบใหญ่ และเช่นเดียวกันนี้ที่ความรักของมารดาจะทำให้มนุษย์อยู่ในความรู้สึกของความเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่เขายังอยู่กับมารดาของเขา ถึงแม้ว่าวัยของเขาจะล่วงเลยมาถึง 50 ปีแล้วก็ตาม และเมื่อใดที่มารดาของเขาสิ้นชีวิตไปนั้นเขาก็จะรู้สึกถึงความชราภาพที่ย่างกรายเข้ามาสู่ชีวิตของเขาได้ทันที และเช่นนี้เองที่มนุษย์เราบางคนมีอายุเพิ่มมากขึ้นเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสู่วัยกลางคนและวัยชรา แต่ถึงกระนั้นเขาก็จะยังคงรู้สึกถึงความเป็นเด็กเบื้องหน้ามารดาของเขา เพราะว่ามารดาของเขาคอยมอบความรักและเอ็นดูให้กับเขา พูดจาโต้ตอบกับเขา เนื่องจากเธอจะไม่รู้สึกถึงอายุที่เพิ่มขึ้นของลูกน้อยของเธอ แต่จะยังคงคิดว่าเขานั้นเป็นทารกน้อยที่เธอเคยโอบอุ้มและหยอกล้อ และท่านศาสดาเองก็ยังไม่หลุดพ้นจากกฏเกณฑ์หลักของมนุษย์ในข้อนี้ นั่นก็คือความต้องการของมนุษย์ที่มีไปยังความรักและเมตตา อีกทั้งการดูแลเอาใจใส่และความเอื้ออาทรจากผู้ที่เป็นมารดา และสิ่งนี้ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดข้อตำหนิใด ๆ ในตัวของท่าน และไม่ได้หมายความว่าท่านรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในปมด้อยของตนแต่อย่างใด เพราะว่าท่านศาสดาถึงแม้ว่าจะอยู่ในจุดสูงสุดของความสมบูรณ์ แต่ท่านก็ยังคงเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ในตัวของท่านนั้นมีคุณสมบัติต่างๆ ของมนุษย์เหมือนกับมนุษย์ทั่ว ๆ ไป และมีความความต้องการต่างๆ เหมือนพวกเขา รู้สึกหิวเหมือนกับผู้อื่น รู้สึกกระหาย เจ็บปวด ดีใจและเสียใจเหมือนกับผู้อื่น และด้วยเหตุนี้เองท่านจึงมีความต้องการไปยังความรักและเอื้ออาทรจากมารดา เหมือนกับที่ท่านมีความต้องการอาหารและเครื่องดื่ม และเช่นเดียวกับที่ความต้องการของท่านที่มีต่ออาหารและเครื่องดื่มไม่ได้แสดงถึงข้อบกพร่องและปมด้อยของท่าน ความต้องการไปยังความรักและเอื้ออาทรก็ไม่ได้แสดงถึงข้อบกพร่องและปมด้อยของท่านเช่นกัน และเช่นเดียวกับที่ความหิวไม่ได้แสดงถึงข้อตำหนิของมนุษย์คนใด ดังนั้น มันก็ไม่ได้แสดงถึงข้อตำหนิของท่านศาสดาเช่นกัน และไม่ได้มีความแตกต่างใดระหว่างความต้องการไปยังอาหารกับความต้องการไปยังความเอื้ออาทรจากมารดา และท่านศาสดาเองก็เคยหิวจนถึงขนาดที่ท่านได้ผูกก้อนหินไว้กับท้องของท่าน (ในสมัยก่อนชาวอรับที่ยากจนมักจะผูกก้อนหินไว้กับท้องของตนเวลาที่รู้สึกหิว เพื่อบรรเทาความหิว-ผู้แปล-) และอัลลอฮ์ก็ได้ตรัสไว้ถึงความโศกเศร้าและความคับใจของท่าน และทรงปลอบใจท่านดังที่พระองค์ตรัสว่า “และจงอย่าโศกเศร้าต่อพวกเขา และจงอย่าอยู่ในความคับใจในสิ่งที่พวกเขาได้วางอุบาย”(อัน-นะฮ์ลุ โองการที่127)

 และตรัสไว้อีกว่า “โอ้ ศาสนทูต จงอย่าให้บรรดาผู้ที่รีบเร่งในการปฏิเสธทำให้เธอต้องโศกเศร้าไปเลย”(อัลมาอิดะฮ์ โองการที่ 41)

และตรัสไว้ในอีกโองการหนึ่งว่า “ดังนั้นเธอจงอย่าระทมทุกข์เพราะพวกเขา”(ฟาฏิร โองการที่ 8) และในโองการอื่น ๆ เช่นเดียวกันนี้ ที่กล่าวถึงความเป็นมนุษย์ของท่านศาสดา และความต้องการของมนุษย์ที่ท่านมี

แล้วถ้าหากว่าท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์นั้นเป็นมนุษย์คนหนึ่งในความรู้สึกของท่านแล้วท่านจึงมีความต้องการไปยังความรักที่เอ่อล้น และสัมผัสที่ละมุนรวมถึงการโอบอุ้มที่อ่อนโยน (ดังเช่นที่มนุษย์ทั่ว ๆ ไปต้องการ)โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ท่านใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากจากช่วงเวลาของการเผยแพร่ที่ท่านต้องถูกด่าทอและถูกขว้างปาด้วยก้อนหินและสิ่งโสโครกและต้องเผชิญกับวิธีที่ร้ายแรงที่สุดของการปฏิเสธและการต่อต้านดังนั้นท่านจึงมีความรู้สึกต้องการไปยังความผ่อนคลาย ความอบอุ่นใจ ความสงบนิ่งและความรักเอาใจใส่แล้วจะมีช่วงเวลาใดอีกเล่าที่ผู้ถือสารอันยิ่งใหญ่จะรู้สึกถึงความต้องการต่อสิ่งเหล่านั้นมากไปกว่าช่วงเวลานี้ที่ท่านต้องพบเจอกับบรรดามารร้ายที่อยู่บนผืนดินซึ่งไม่มีคุณค่าในความเป็นมนุษย์ และได้กระทำการอันกักขฬะต่อท่านและโจมตีท่านด้วยคำพูดและการกระทำ 

แล้วผู้ใดเล่าที่จะมอบความเมตตาและเอื้ออาทรให้กับท่านศาสนทูตและบรรเทาความเหนื่อยยากรวมถึงความเจ็บปวดของท่าน

ไม่มีผู้ใดเลยนอกจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ที่จะเติมเต็มชีวิตของท่านด้วยกลิ่นอายอันหอมกรุ่นแห่งผู้เป็นแม่ และด้วยจิตวิญญาณของเธอ รวมถึงความบริสุทธิ์และความรักของเธอ ดังนั้น ท่านหญิงจึงเป็นมารดาของท่านศาสนทูตทางด้านจิตวิญญาณ ถึงแม้ว่าจะเป็นบุตรของท่านทางด้านร่างกาย เป็นมารดาของท่านด้วยความรักของเธอและด้วยจิตวิญญาณของเธอที่เจิ่งนองในตัวท่าน คอยขับกล่อมจิตวิญญาณของท่าน และเติมเต็มส่วนที่ขาดหายในบ้านของท่าน และถึงแม้ว่าประวัติศาสตร์จะไม่ได้บอกเราถึงรายละเอียดของสิ่งนั้นไว้ แต่เราก็สามารถที่จะรับรู้ถึงมันได้จากวจนะอันทรงคุณค่าอมตะที่กล่าวว่า “ฟาฏิมะฮ์คือมารดาของบิดาของเธอ” คำ ๆ นี้ซึ่งท่านศาสนทูตได้กล่าวไว้หลังจากที่ความรักของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ได้แกว่งไกวชีวิตท่าน ดังนั้น ท่านจึงกล่าววจนะอันทรงคุณค่าอมตะนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นมารดาที่อยู่ในบุตรีของท่าน เพราะคำว่ามารดาของบิดาของเธอนั้น สั่งสมไว้ซึ่งความรู้สึกของท่านศาสดาที่มีต่อความรักเอื้ออาทรที่มากจากบุตรีของท่าน และดวงใจอันกว้างใหญ่ของเธอซึ่งได้มอบความรักให้กับท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์

ขอให้เราได้จินตนาการถึงดวงใจและความเมตตาของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์นั้นว่ามันกว้างใหญ่เพียงใดถึงขนาดที่ท่านหญิงสามารถที่จะเติมเต็มจิตวิญญาณของมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ได้และทำให้ท่านรู้สึกถึงความอบอุ่นใจ และห้อมล้อมท่านด้วยการดูแลเอาใจใส่และการเป็นแม่ของท่านหญิงและความรักของท่านหญิงนั้นก็เป็นสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไปซึ่งท่านนั้นต้องแบกรับภาระหน้าที่ที่ใหญ่ยิ่ง เพราะว่าการเป็นแม่นั้น(โดยทั่ว ๆไป)เป็นภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งอยู่ในความคิดและความรู้สึกของผู้เป็นแม่และสร้างความเหนื่อยยากทั้งกายและใจให้กับผู้เป็นแม่เพราะว่าในขณะที่สตรีคนหนึ่งเป็นแม่นั้นผู้ที่จะเป็นแกนหลักของชีวิตของเธอก็คือลูกน้อยของเธอและด้วยเหตุนี้เองที่เราจะพบว่าผู้ชายบางคนจะรู้สึกอิจฉาลูก ๆของตนขณะที่พวกเขาเห็นภรรยากำลังหมกมุ่นอยู่กับลูกน้อยของเธอและสิ่งนี้คือธรรมชาติโดยรวมของผู้เป็นแม่แล้วผู้ที่เป็นมารดาของบุคคลสำคัญอย่างท่านศาสนทูตล่ะจะเป็นเช่นไรไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ที่ทำหน้าที่นี้จะต้องทุ่มเทความพยายามอย่างสูงและพลังแห่งความรู้สึกที่มากจากจิตวิญญาณอันล้ำลึกและกว้างขวางและสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายเพื่อที่เขาผู้นั้นจะทำหน้าที่นี้

และด้วยเหตุนี้ เราจึงถือว่าวจนะบทนี้เป็นวจนะที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ และถึงแม้ว่าประวัติศาสตร์จะไม่ได้บอกเราไว้ถึงรายละเอียดของความสัมพันธ์ระหว่างท่านหญิงฟาฏิมะฮ์และบิดาของเธอ และไม่ได้แผ่กว้างถึงชีวิตของเธอมากนัก แต่ว่าวจนะบทนี้เพียงบทเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะบ่งบอกถึงสถานภาพของเธอ ณ ท่านศานทูตแห่งอัลลอฮ์ผู้ซึ่ง “จะไม่กล่าวสิ่งใดออกมาจากอารมณ์ เว้นเสียแต่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นวิวรณ์ที่ถูกดล” ดังนั้น ท่านจะไม่กล่าวสิ่งใดออกมาด้วยอารมณ์ที่ปราศจากความรับผิดชอบ แต่ว่าท่านจะกล่าวด้วยกับสัจธรรมและความถูกต้อง

แท้จริงวจนะบทนี้ได้สรุปชีวิตทั้งหมดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอไว้ รวมถึงบทบาทของท่านในการบรรเทาความเจ็บช้ำที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ต้องประสบ และสิ่งที่หนักอึ้งต่างๆ ที่ท่านต้องพบเจอจากบรรดาผู้ตั้งภาคีและผู้กลับกลอก