ภารกิจของบรรดาศาสดา

ภารกิจหลักของบรรดาศาสดา คือ ต้องไม่ปล่อยให้ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนของมนุษย์กลายเป็นความรู้สึกที่โกหกและผิดพลาด ประหนึ่งความรู้สึกของมารดาที่ไม่ยอมปล่อยให้ทารกของตนรับประทานอาหารทุกชนิดเมื่อหิวโหย ดั้งนั้น ถ้ามนุษย์พิจารณาประวัติศาสตร์และมองดูผู้คนที่มิได้อยู่ภายใต้คำสอนของบรรดาศาสดา หรือปฏิเสธหลักคำสอนของท่านเหล่านั้นชะตาชีวิตของพวกเขาเป็นเช่นไร พวกเขาต้องตกระกำลำบากกับสิ่งหลอกลวงมากน้อยเพียงใด

การเคารพภักดีพระเจ้าขัดแย้งกับเสรีภาพของมนุษย์หรือ

บางครั้งมนุษย์คิดว่าการตอบรับคำเชิญชวนของบรรดาศาสดาและเคารพภักดีต่อพระเจ้าแล้ว จะทำให้ขัดแย้งกับความเป็นอิสรเสรีของมนุษย์ แต่ต้องเข้าใจก่อนว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้มิได้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีชีวิตโดยปราศจากความรัก ความผูกพัน ความเคารพภักดี ความคุ้นเคยหรือไร้ความหวังแต่อย่างใด ความรักและความคารพภักดีซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ดังนั้น ถ้าความรู้สึกดังกล่าวมิได้ถูกปลูกฝังหรือได้รับการชี้นำอย่างถูกต้องจากบรรดาศาสดาแล้ว แน่นอน มนุษย์จะต้องหลงทางและเบี่ยงเบนจิตใจออกไปจากสัจธรรม และหลงอยู่กับเคารพรูปปั้นบูชา หรือเคารพสักการะดวงเดือนดวงตะวันและดวงดาวต่าง ๆ หรือไม่ก็เคารพภักดีต่อมนุษย์ด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่าการเคารพภักดีต่อพระเจ้าเป็นความรู้สึกที่เป็นจริง ที่มากีดขวางความรู้สึกโกหกทั้งหลายอีกทั้งยังช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากการมีความรักและการเคารพภักดีที่ไม่ถูกต้อง
ดั้งนั้น จะเห็นว่าโลกทัศน์แห่งการรู้จักพระเจ้าและความศรัทธาที่มีต่อพระองค์มีรากเหง้ามาจากธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ นั่นคือมนุษย์ทุกคนมีความรู้สึกเหมือนกันกล่าวคือ ต้องพึ่งพาอำนาจหนึ่งอันเป็นอำนาจยิ่งใหญ่ปราศจากขอบเขตจำกัด แม้ว่าในบางครั้งการจำแนกแยกแยะอำนาจนั้นอาจผิดพลาดว่าเป็นอำนาจของพระเจ้าหรืออำนาจของธรรมชาติก็ตาม

แต่อย่างไรก็ตามมนุษย์ทุกคนนั้นมีความรู้สึกดั้งเดิมเหมือนกัน คือ มนุษย์จำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจอื่น ซึ่งจะเห็นว่ามีอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงเอกะ อำนาจเดียวเท่านั้นที่ควบคุมดูแลโลกและจักรวาล อันเป็นอำนาจที่ไร้ขอบเขตจำกัดเปี่ยมล้นไปด้วยวิทยปัญญา และเข้ากันได้กับธรรมชาติของมนุษย์ที่สำนึกเสมอว่าตนเป็นสิ่งมีอยู่ที่ต้องพึ่งพาอำนาจอื่นเสมอ

แนวทางการรู้จักพระเจ้า

การรู้จักพระเจ้าจากระบบระเบียบและการประสานงาน

วิธีและเหตุผลที่ง่ายที่สุดสำหรับการพิสูจน์พระเจ้าและความเป็นหนึ่งเดียวของพระองค์ คือ ความเป็นระบบระเบียบและการประสานกันอย่างกลมกลืนน่าอัศจรรย์ใจ ที่ควบคุมโลกและจักรวาลอยู่ในปัจจุบัน เหตุผลดังกล่าวเรียกว่า ความมีระบบระเบียบ ซึ่งเหตุผลนี้มีความพิเศษหลายประการด้วยกันกล่าวคือ

1. เป็นเหตุผลของพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน เนื่องจากอัล-กุรอานหลายโองการเชิญชวนมนุษย์ ให้คิดไตร่ตรองถึงความอัศจรรย์ของธรรมชาติและความเกรียงไกรของพระเจ้า

2. ความรักและความผูกพันที่มีต่อการสร้าง เมื่อมนุษย์เข้าใจถึงความเมตตาการุณย์และความโปรดปรานของพระเจ้าแล้ว ความรักและความผูกพันที่มีต่อพระองค์ก็จะทวีคูณขึ้น

3. ความหวานซึ้ง เมื่อมนุษย์เข้าใจและสามารถสร้างสัมพันธ์กับการดำรงอยู่ของพระผู้อภิบาลได้ เขาจะมีความปิติยินดีและมีความสุขใจอย่างยิ่ง

4. มีการพัฒนาตน เนื่องจากวิชาการก้าวหน้าไปความสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งที่มีอยู่ก็จะถูกค้นพบมากขึ้น

5. มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าใจเองได้อย่างถ้วนหน้าไม่จำเป็นต้องพึ่งปรัชญา เนื่องจากความสัมพันธ์กลมกลืนกันอย่างเป็นระบบของวัสดุก่อสร้างที่สร้างเป็นอาคาร ความกลมกลืนของบทความต่าง ๆ จนกลายเป็นหนังสือ หรือคำพูดหลายบรรทัดที่รวมเป็นจดหมาย ทั้งหมดเหล่านี้เป็นเหตุผลที่ง่ายดายที่ยืนยันให้เห็นถึงการมีอยู่ของนักเขียนหรือสถาปนิกผู้ออกแบบ

ถ้ามีนักวาดเขียนสามคนนั่งรวมกันและให้แต่ละคนช่วยกันวาดรูปไก่ขึ้นมาสักหนึ่งตัว ให้คนที่หนึ่งวาดรูปหัวไก่ คนที่สองวาดตัวไป และคนที่สามวาดขาไก่หลังจากนั้นให้นำเอารูปทั้งสามมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ท่านจะเห็นว่าภาพวาดทั้งสามไม่อาจรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เนื่องจากไม่เข้ากันหรือไม่มีความพอดี

แน่นอน ความสัมพันธ์และการเข้ากันได้ ความสมดุล ความเหมาะสมของกาลเวลาที่แม่นยำและละเอียดอ่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลที่ง่ายดายที่บ่งถึงความเป็นหนึ่งเดียว

อิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า ทุกลมหายใจเข้าออกของมนุษย์แต่ละครั้งแฝงไว้ด้วยความโปรดปรานจำนวนมหาศาล เนืองจากเจ้าจะหายใจได้ ก็ต่อเมื่อใบไม้กระทำหน้าที่กลั่นกลองอากาศได้อย่างดีเยี่ยม น้ำในมหาสมุทรมีความสะอาด ซึ่งความสะอาดของท้องทะเลขึ้นอยู่กับการปรับระบบให้มีความสมดุล ปราศจากซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยในทะเล ซึ่งหน้าที่สำคัญนี้เป็นของปลาวาฬ ฉะนั้น จะเห็นว่าการหายใจของมนุษย์แต่ละครั้งมีทั้งใบไม้ ปลาวาฬ และน้ำในมหาสมุทรร่วมอยู่ด้วย

ความสัมพันธ์กันของสรรพสิ่งที่มีอยู่

ตามสาระบบของสรรพสิ่งที่มีอยู่ จะเห็นว่าความอ่อนแอนั้นอยู่คู่กับความแข็งแรง การบุกโจมตีอยู่คู่กับการป้องกัน ความป่าเถื่อนโหดร้ายอยู่กับความเมตตาปรานี สิ่งเหล่านี้ต้องอยู่คู่กันเพื่อปรับระบบให้มีความสมดุลอันเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ซึ่งโดยรวมทั้งหมดแล้วความประสานกลมกลืนที่เกิดขึ้นนี้ จนถึงปัจจุบันท่านเคยคิดถึงบ้างหรือไม่ว่า

เพราะเหตุอันใดความอ่อนแอของทารกจึงถูกทดแทน และถูกปกป้องด้วยความแข็งแรงของมารดา การล่วงหล่นด้วยความเร็วสูงและหนักของลูกอุกาบาศก์ จึงถูกต้านไว้ด้วยชั้นบรรยากาศที่หนาแน่นรายล้อมผิวโลกเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกอุกาบาศก์พุ่งชนโลก

เมื่อมนุษย์หายใจเอากาซคาร์บอนไดออกไซออกมา ใบไม้ดูดซับเอากาซนั้นเข้าไปกลั่นกรองให้กลายเป็นกาซออกซิเจนและคายออกมาเพื่อให้มนุษย์หายใจเข้าไป ระบบการทำงานของร่างกายมนุษย์กับใบไม้มีความสัมพันธ์กันอย่างลงตัวได้อย่างไร

เพราะเหตุใด ความป่าเถื่อนโหดร้ายของบุรุษ จึงถูกทัดทานไว้ได้ด้วยความอ่อนโยนและความเมตตาของสตรีทำให้เกิดความสดดุล และทั้งสองสามารถดำรงชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุข ท่านเคยใคร่ครวญถึงกลไกลที่สมดุลที่แอบแฝงอยู่ในธรรมชาติบ้างหรือไม่ว่า ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงมีการทำงานที่เป็นระบบมีความสอดคล้องและเข้ากันได้อย่างลงตัว

ท่านลองคิดซิว่าถ้าหากผิวโลกแข็งดุจดังหินผาเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา การขุดบ่อน้ำ การสร้างอาคารบ้านเรือน การฝังศพและการงอกเงยของต้นไม้จะเป็นอย่างไร ในทางตรงกันข้ามถ้าพื้นผิวโลกอ่อนนุ่มไม่มีความแข็งอยู่เลยจะเป็นเช่นไร แต่เป็นเพราะทุกอย่างมีความสมดุลกันอย่างพอดิบพอดีท่านจึงไม่ได้ใคร่ครวญถึงสิ่งเหล่านี้

ความสัมพันธ์กันทั้งภายนอกและภายใน

เพราะเหตุใดกระเพราะอาหารที่อยู่ภายในร่างกายกับอาหารที่อยู่ข้างนอก จึงมีความสัมพันธ์และมีความเหมาะสมต่อกัน ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อมนุษย์กระหายจะมีน้ำเตรียมไว้ข้างนอก เมื่อมนุษย์มีความต้องการทางเพศจะมีสตรีผู้เป็นภรรยาคอยให้ความสุขแก่เขา

ธรรมชาติของจิตวิญญาณมนุษย์ คือ ศึกษาค้นคว้าชนิดที่ไม่มีที่สิ้นสุด ความจำกัดไม่สามารถทำให้เขาอิ่มหนำสำราญได้ เนื่องจากภายในของมนุษย์มีการพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์ ดังนั้น ภายนอกจำเป็นต้องมีความสมบูรณ์แท้จริงอยู่ ซึ่งความสมบูรณ์จริงแท้ปราศจากความบกพร่องและข้อตำหนิต่าง ๆ มีอยู่ประการเดียวนั่นคือ พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น เมื่อภายในของมนุษย์มีความรัก จำเป็นต้องมีสิ่งถูกรักอยู่ภายนอก แต่ใครคือคนรักที่แท้จริงของมนุษย์ คนรักที่ไม่จริงแท้เปรียบเสมือนข้าวของเครื่องใช้ชั่วคราวที่ใช้เพียงครั้งเดียวแล้วโยนทิ้งไป ท่านศาสดาอิบรอฮีม (อ.) กล่าวกับบรรดาผู้ที่เคารพสักการะดวงอาทิตย์ว่า ครั้นเมื่อ

ลางคืนปกคลุมเขาเห็นดาวดวงหนึ่ง เขากล่าวว่า นี่คือพระเจ้าของฉัน แต่เมื่อมันลับไป เขาก็กล่าวว่า ฉันไม่ชอบบรรดาสิ่งที่ลับไป (อัล-กุรอาน บทอัลอันอาม โองการที่ 76)