คุณประโยชน์ของศาสนา

 บางครั้งอาจกล่าวได้ว่าโครงสร้างทั้งหมดของศาสนามีเจตนา เพื่อสร้างสรรค์สังคมให้เจริญเติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้อง ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้ดังการผลิตพาหนะขนส่ง หรือรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะสังเกตเห็นว่าการผลิตรถยนต์นั้นมีหลายขั้นตอนสำคัญด้วยกัน เช่น

1. ต้องสรรหาเหล็กและวัตถุดิบอย่างดีเพื่อนำมาเป็นตัวถังและส่วนประกอบอื่น ๆ ของรถยนต์

2. ต้องผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์

3. วัตถุดิบที่สรรหามาได้แล้วต้องนำมาแปรสภาพเพื่อการใช้งาน

4. นำวัตถุดิบที่แปรสภาพแล้วมาหล่อหลอมเป็นชิ้นส่วนต่าง

5. นำชิ้นส่วนที่หล่อหลอมได้ตามต้องการแล้วมาประกอบเข้าด้วยกันเพื่อให้เป็นรถยนต์

ขั้นตอนสุดท้าย เมื่อรถยนต์ถูกผลิตขึ้นอย่างสมบูรณ์พร้อมใช้งานแล้ว สิ่งที่จำเป็นลำดับสุดท้าย คือ การหาคนขับที่มีความสามารถสูงในการขับรถยนต์ไปสู่จุดหมาย อย่างมีสวัสดีภาพโดยปราศจากอุบัติเหตุใด ๆ

ศาสนาก็เช่นกันจำเป็นต้องมีขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย เป็นองค์ประกอบเพื่อให้ศาสนามีความสมบูรณ์ เช่น

ประการที่หนึ่ง ศาสนาต้องสรรหาศาสนิกที่เคารพนับถือ มนุษย์ที่ลืมเลือนตนเอง ลืมแนวทางของตน ลืมผู้ช้ำนำทาง และลืมเป้าหมายระหกระเหินอยู่ท่ามกลางความสับสน เขามิได้แตกต่างอะไรไปจากปศุสัตว์ที่ดำเนินชีวิตไปวัน ๆ หนึ่ง โดยปราศจากเป้าหมายปลายทางที่แท้จริง เนื่องจากเป้าหมายของสัตว์ก็ คือ การทีชีวิตที่สะดวกสบายไปวัน ๆ หนึ่งเท่านั้น โดยไม่คำนึงว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร สภาพชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปทางไหน จะมีอาหารกินหรือไม่สิ่งเหล่านี้มิใช่ความสำคัญของมัน ดังนั้น การดำเนินชีวิตของบุคคลประเภทนี้มิได้แตกต่างอะไรไปจากซากศพที่เดินได้ ซึ่งจะมองไม่เห็นว่ามีสัจธรรมความจริงใดมีผลต่อเขาแม้แต่นิดเดียว ดุจดังเช่น สัตว์ร้ายที่ไล่ล่าอาหาร ใช่เล่ห์เพทุบายเหมือนสุนัขจิ้งจอก ขี้ขโมยเหมือนหนู และแข็งดุจดังหินผาเนื่องจากมีหัวใจที่แข็งกระด้าง ศาสนาต้องค้นหาผู้คนที่หลงทางเหล่านี้ ทำให้เขารู้จักและค้นหาตัวเองให้พบ

ถ้าสมมติว่าไม่มีศาสนา มนุษย์จะไม่มีวันค้นหาตัวเองพบอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ บุคคลที่ไม่เคยติดต่อหรือไม่เคยสัมผัสกับบรรดาศาสดาเลยแม้แต่น้อย พวกเขาจะไม่มีวันรู้จักตัวเองและไม่สามารถค้นหาตัวเองพบอย่างแน่นอน ซึ่งบางกลุ่มชนจากพวกเขากล่าวว่า ...

มนุษย์นั้น ตามความเป็นจริงแล้วคือสัตว์ บางคนกล่าวว่า ธาตุแท้ของมนุษย์ คือ กิเลสและตัณหาการเคลื่อนไหวทั้งหมดของมนุษย์จึงเคลื่อนไหวไปสู่กิเลส

บางคนกล่าวว่า มนุษย์นั้น คือ สัตว์สังคมด้วยเหตุนี้ แหล่งกำเนิดและการเคลื่อนไหวทั้งหมดของมนุษย์เป็นไปเพื่อปากท้องเท่านั้นเอง แน่นอน พวกเขาเข้าใจและตีความหมายของชีวิตและความเจริญผาสุกเป็นอย่างอื่น

ศาสนาสอนกับมนุษย์ว่า โอ้ มนุษย์เอ๋ย เจ้ามิใช่สัตว์และไม่ใช่กระเพราะอาหาร ความสมบูรณ์ของเจ้าไม่ได้อยู่ที่ทั้งสอง และไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแรงที่สามารถโบยบินได้ หรือยกน้ำหนักได้หลายร้อยกิโลกรัม หรือสามารถสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่โตมโหฬารเป็นที่อยู่อาศัย เนื่องจากสิ่งเหล่านี้สรรพสัตว์บางประเภทมีความสามารถเหนือมนุษย์

ถ้าหากพิจารณา อัล-กุรอาน จะสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าอิสลามกล่าวถึงมนุษย์ไว้อย่างไร ซึ่งบางโองการกล่าวว่า

มนุษย์ คือ เคาะลิฟะฮฺ (ตัวแทน) ของพระเจ้าบนหน้าแผ่นดิน

إِنِّي جَاعِلٌ فِي الأَرْضِ خَلِيفَةً

(อัล-กุรอาน บท อัล-บะเกาะเราะฮฺ โองการที่ 30)

ทุกสิ่งบนหน้าแผ่นดินและในท้องฟ้าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมนุษย์

أَلَمْ تَرَوْا أَنَّ اللَّهَ سَخَّرَ لَكُم مَّا فِي السَّمَاوَاتِ وَمَا فِي الْأَرْضِ

พวกเจ้ามิเห็นดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮฺทรงอำนวยความสะดวกให้แก่พวกเจ้าทั้งสิ่งที่มีอยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่มีอยู่ในแผ่นดิน  (อัล-กุรอาน บทลุกมาน โองการที่ 20)

มนุษย์ คือ ผู้แบกรับภาระอันหนักอึ้ง (อามานะฮฺ)

إِنَّا عَرَضْنَا الْأَمَانَةَ عَلَى السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ وَالْجِبَالِ فَأَبَيْنَ أَن يَحْمِلْنَهَا وَأَشْفَقْنَ مِنْهَا وَحَمَلَهَا الْإِنسَانُ

แท้จริงเราได้เสนออะมานะฮฺแก่บรรดาชั้นฟ้าแผ่นดินและขุนเขาทั้งหลาย แต่พวกมันปฏิเสธที่จะแบกรับไว้และหวาดกลัว แต่มนุษย์ได้แบกรับแทนไว้  (อัล-กุรอาน บทอัล-อะฮฺซาบ โองการที่ 72)

มนุษย์ เมื่อมีรูปร่างสมบูรณ์แล้วข้าได้เป่าวิญญาณเข้าไปบนเขา

فَإِذَا سَوَّيْتُهُ وَنَفَخْتُ فِيهِ مِن رُّوحِي

ดังนั้น เมื่อข้าได้ทำให้เขามีรูปร่างสมส่วน ข้าจึงเป่าจากวิญญาณของข้าเข้าไปในตัวเขา (อัล-กุรอาน บทอัล-ฮิจร์ โองการที่ 29)

มนุษย์ คือ สิ่งถูกสร้างที่ประเสริฐที่สุด

لَقَدْ خَلَقْنَا الْإِنسَانَ فِي أَحْسَنِ تَقْوِيمٍ

โดยแน่นอนเราได้บังเกิดมนุษย์มาในรูปแบบที่สวยงามยิ่ง (อัล-กุรอาน บทอัตตีน โองการที่ 4)

มนุษย์ คือ ผู้ที่พระเจ้าทรงให้เกียรติ

وَلَقَدْ كَرَّمْنَا بَنِي آدَمَ وَحَمَلْنَاهُمْ فِي الْبَرِّ وَالْبَحْرِ وَرَزَقْنَاهُم مِّنَ الطَّيِّبَاتِ

แน่นอน เราได้ให้เกียรติแก่ลูกหลานของอาดัม เราได้บรรทุกพวกเขาทั้งทางบกและทางทะเล และได้ให้ปัจจัยยังชีพที่ดีทั้งหลายแก่พวกเขา (อัล-กุรอาน บทอัล-อิสรอ โองการที่ 70)

มนุษย์ คือ ผู้ถูกให้มีเกียรติเหนือกว่าทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงบังเกิดมาเป็นส่วนใหญ่

وَفَضَّلْنَاهُمْ عَلَى كَثِيرٍ مِّمَّنْ خَلَقْنَا تَفْضِيلاً

และเราได้ให้พวกเขาดีเด่นอย่างมีเกียรติเหนือกว่าผู้ที่เราได้ให้บังเกิดมาเป็นส่วนใหญ่ (อัล-กุรอาน บทอัล-อิสรอ โองการที่ 70)

หลังจากนั้นอัล-กุรอาน ได้ย้ำเตือนว่าเมื่อเจ้ามีความประเสริฐมากมายเช่นนี้ ดังนั้น จงอย่าลืมตนเองเด็ดขาด จงอย่าหลงผิด จงอย่าประกอบการค้าที่สร้างความขาดทุนและเสียหาย จงอย่าขายตัวเองด้วยราคาเพียงน้อยนิดให้กับบุคคลอื่นที่มิใช่พระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษย์ต้องถามตนเองว่า ถ้าหากฉันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อชีวิตทางวัตถุ หรือเพื่อสนองตอบอำนาจใฝ่ต่ำอันเป็นอำนาจของเดรัจฉานแล้วละก็ ทำไมฉันต้องถูกสร้างขึ้นมาด้วย และทำไมต้องประทานสติปัญญากับความสามารถให้ฉันด้วย

ประการที่สอง ทำการขจัดวัตถุดิบที่ถูกค้นพบแล้วให้ออกจากกัน หมายถึงมนุษย์ซึ่งเป็นวัตถุดิบประเภทหนึ่งที่ถูกค้นพบต้องถูกดึงออกจากการกดขี่ ความโง่เขลา ความแตกแยกต่าง ๆ ความหลงผิดในศาสนา ความสุดโต่ง การตั้งภาคี และอื่น ๆ ดังที่อัล-กุรอานกล่าวว่าอัลลอฮฺทรงนำพวกเขาออกจากบรรดาความมืดสู่แสงสว่าง

يُخْرِجُهُم مِّنَ الظُّلُمَاتِ إِلَى النُّوُرِ

 (อัล-กุรอาน บทอัล-บะเกาะเราะฮฺ โองการที่ 257)

ประการที่สาม ศาสนาจะทำการหล่อหลอมมนุษย์ด้วยสีสันแห่งสัจธรรม ดังที่เหล็กถูกหลอมด้วยความร้อนจนกลายเป็นน้ำ

ศาสนาจะสร้างความรักที่ปราศจากขอบเขตจำกัดใจหัวใจมนุษย์ และนำมนุษย์ไปเชื่อมติดกับความรักนั้น ถึงเวลานั้นสิ่งที่ปราศจากขอบเขตจำกัดอันเล็กน้อย จะถูกหล่อหลอมด้วยสิ่งที่ปราศจากขอบเขตจำกัดขนาดมหึมา ดังที่มนุษย์ได้รับการช่วยเหลือจากหลักคำสอนของศาสนาเขาจึงถูกหล่อหลอม และถูกชำระให้สะอาดด้วยคำวิงวอน การกลับตัวกลับใจ และการร้องไห้ทำให้ความไม่บริสุทธิ์ใจและความไม่ดีทั้งหลายถูกขจัดออกไปจากเขา

ประการที่สี่ ศาสนาเป็นคำอบรมส่วนตัวของมนุษย์ ขั้นตอนในการสร้างสรรค์ตนเองด้วยการแสดงความเคารพภักดี การสร้างสรรค์ความสำรวมตน และการบ่มคุณลักษณะแห่งความดีงามและความสมบูรณ์ในการเป็นมนุษย์ให้เปล่งบาน หมายถึงการสร้างแนวทางอันเป็นประโยชน์และมนุษย์ที่แท้จริง คือ หลักการและแนวทางที่ท่านศาสดาได้กระทำไว้ในสมัยที่ท่านประกาศศาสนาในมักกะฮฺ และสมัยที่ท่านถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ อ้นเป็นหลักคำสอนบริสุทธิ์ที่ไม่เห็นแก่พรรคพวกเพื่อนพ้องหรือสังคม ได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อว่ามนุษย์ทุกคนจะได้ถูกสร้างสรรค์ให้มั่นคงแข็งแรง

การแสดงความเคารพส่วนตัว คือ บทนำในการพัฒนาและสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างสรรค์ตนเอง คือ บทนำในการสร้างสังคม เนื่องจากการอบรมสั่งคมนั้นต้องเริ่มต้นจากการอบรมบุคลากรของสังคม ดังที่จะเห็นได้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเริ่มต้นอบรมสั่งสอนท่านศาสดาให้สะอาดบริสุทธิ์ก่อน อัล-กุรอาน กล่าวว่า

وَثِيَابَكَ فَطَهِّرْ

 และเสื้อผ้าของเจ้า จงทำให้สะอาด (อัล-กุรอาน บทอัล-อัลมุดดัซซิร โองการที่ 4)

ลำดับที่สอง ทรงมีพระบัญชาให้ท่านศาสดาตักเตือนและเชิญชวนบุตรและภรรยาว่า

يَا أَيُّهَا النَّبِيُّ قُل لِّأَزْوَاجِكَ وَبَنَاتِكَ  

 โอ้ นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาและบุตรสาวของเจ้า (อัล-กุรอาน บทอัล-อัลอะฮฺซาบ โองการที่ 59)

ลำดับที่สาม ทรงมีพระบัญชาให้ตักเตือนและเชิญชวนบรรดาเครือญาติว่า

وَأَنذِرْ عَشِيرَتَكَ الْأَقْرَبِينَ

จงตักเตือนวงศาคณาญาติที่ใกล้ชิดของเจ้า (อัล-กุรอาน บทอัชชุอะรออฺ โองการที่ 214)

ลำดับที่สี่ ทรงมีพระบัญชาให้ตักเตือนและเชิญชวนชาวมักกะฮฺและผู้อาศัยอยู่บริเวณรอบนั้นว่า

وَلِتُنذِرَ أُمَّ الْقُرَى وَمَنْ حَوْلَهَا

 เจ้าจงตักเตือนชาวมักกะฮฺและผู้ที่อยู่รอบ ๆ นั้น (อัล-กุรอาน บทอัล-อันอาม โองการที่ 92)

เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพแล้วพระองค์จึงมีพระบัญชาให้ท่านตักเตือนสังคมส่วนรวมว่า

وَمَا أَرْسَلْنَاكَ إِلَّا كَافَّةً لِّلنَّاسِ

และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่อกลุ่มชนใด นอกจากเพื่อประชาชาติทั้งปวง (อัล-กุรอาน บทอัซซะบาอฺ โองการที่ 28)

ลำดับที่ห้า ศาสนาจะเป็นหลักประกันเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมา และเป็นตัวสร้างความสัมพันธ์ให้เป็นหนึ่งเดียวในระหว่างมนุษย์ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย และบั้นปลายของความเป็นเอกภาพ คือ การสร้างรัฐขึ้นปกครองในนามของรัฐบาลแห่งพระเจ้าซึ่งครอบคลุมเหนือทุกมุมมองและทุกแนวความคิด ดังที่ท่านศาสดามุฮัมมัด ได้แสดงไว้เป็นแบบอย่างขณะที่ท่านปกครองมะดีนะฮฺอยู่ รัฐบาลแห่งพระเจ้ามีหลักการและเป้าหมายเพื่อพระเจ้า ซึ่งแตกต่างไปจากรัฐบาลทั่ว ๆ ไป

โดยหลักการแล้วอิสลาม คือ ศาสนาแห่งเอกภาพ สังคม และการรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกรุณาสังเกตที่นมาซ ซึ่งถือว่าเป็นเสาหลักสำคัญของศาสนาแม้ว่าจะปฏิบัติเพียงคนเดียว แต่ผู้ปฏิบัติก็จำเป็นต้องกล่าวคำสนทนากับพระเจ้าในรูปของพหูพจน์ เช่น กล่าวว่า เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกเราเคารพภักดี และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกเราขอความช่วยเหลือ โปรดชี้นำพวกเราสู่ทางเที่ยงตรง ขอความสันติพึงมีแด่พวกเราและแด่ปวงบ่าวผู้เป็นกัลญาณชนทั้งหลาย รูปแบบการกล่าวสลามนั้นมีหลายประเภทซึ่งจุดประสงค์ต้องการรณรงค์ให้บรรดามุสลิมรักษาความเป็นเอกภาพ และสนับสนุนให้สังคมแห่งเอกภาพนั้นให้เจริญเติบโต ดัวยเหตุนี้ ถ้าจำนวนของผู้เข้าร่วมนมาซมากเท่าใดผลบุญของการนมาซร่วมกันก็จะมากขึ้นไปตามลำดับ

บางที่อาจกล่าวได้ว่าการที่อิสลามห้ามนินทา หรือกล่าวร้ายผู้อื่นนั้นอาจเป็นเพราะว่าการกระทำทั้งสองเป็นสาเหตุของความแตกแยก และก่อให้เกิดความเลวร้ายในสังคม ในทางกลับกันการให้ของขวัญ การสร้างความสงบ การแสดงความเมตตา การกล่าวสลาม และการปรึกษาหารือเป็นสิ่งที่ดีงามในอิสลาม นั่นก็เป็นเพราะว่าการกระทำเหล่านี้ก่อให้เกิดความรักใคร่กลมเกลียวในสังคม และเป็นสาเหตุทำให้เกิดความเป็นเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกันของสังคม

ลำดับที่หก ศาสนาพยายามผลักใสสังคมแห่งเอกภาพนี้ไปส่งมอบให้กับผู้นำที่มีคุณสมบัติพร้อมบริบูรณ์ และมีความบริสุทธิ์จากบาปกรรมต่าง ๆ เนื่องจากผู้ประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถปกครองสังคมมนุษย์ให้มีความสันติสุข และสามารถนำพามนุษย์ให้รอดพ้นจากอบายมุข ความชั่วช้า และความเสียหายได้ อีกทั้งยังสามารถนำมนุษย์ออกจากความโง่เขลาไปสู่ความรู้และวิชาการที่แท้จริง พัฒนาให้มนุษย์เป็นผู้มีความสัจจริง ยกระดับจิตใจให้สูงส่ง และไม่ลุ่มหลงต่อโลก ในทางกลับกันถ้ามอบสังคมให้กับผู้มีความกดขี่ หรือมิใช่ผู้บริสุทธิ์แล้วถือว่าเป็นการกดขี่ความเป็นมนุษย์ของตนอย่ารุนแรง และนี่คือภาพรวมทั้งหมดของศาสนา ดังถ้าจะกล่าวว่าศาสนาหมายถึงอะไร สามารถกล่าวได้ว่าศาสนา คือ โครงสร้างสมบูรณ์ของสังคม ซึ่งก่อให้เกิดวิสัยทัศน์ ความพยายาม และแนวทางแก่ปัจเจกบุคคลและสังคมอันเป็นแนวทางที่ได้รับการกำหนดมาแล้วจากพระผู้เป็นเจ้า