') //-->
- ความจำเป็นในการแต่งตั้งบรรดาศาสดา
- ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์
- ประโยชน์ของการแต่งตั้งบรรดาศาสดา
ความจำเป็นในการแต่งตั้งบรรดาศาสดา
ประเด็นที่กำลังจะกล่าวต่อไปนี้ถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับนบูวัต (สภาวะการเป็นศาสดา) ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยเหตุผลอันมีบทนำสามประการดังต่อไปนี้
1. เป้าหมายในการสร้างมนุษย์เพื่อให้มนุษย์ปฏิบัติการงาน และกิจกรรมต่าง ๆ ตามเจตนารมณ์เสรีของตน พร้อมกับดำเนินชีวิตไปสู่ความสมบูรณ์ขั้นสุดท้ายของความเป็นมนุษย์ อันเป็นความสมบูรณ์ซึ่งมนุษย์จะได้รับมาด้วยการปฏิบัติตามเจตนารมณ์เสรีและการเลือกสรรเท่านั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์เจาะจงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสิ่งนั้นโดยเฉพาะ ซึ่งด้วยการแสดงความจงรักภักดีและการเชื่อฟังปฏิบัติตามพระเจ้า ทำให้มนุษย์มีเกียรติพอที่จะได้รับความเมตตาดังกล่าว อันเป็นคุณสมบัติพิเศษสำหรับมนุษย์ผู้สมบูรณ์ ประกอบกับแก่นแท้แห่งพระประสงค์ของพระเจ้าคือ ความสมบูรณ์และความเจริญของมนุษย์ แต่ความเจริญและความสมบูรณ์อันมีค่ายิ่งนี้ไม่อาจสมบูรณ์ได้เด็ดขาด นอกจากการปฏิบัติกิจกรรมตามเจตนารมณ์เสรี วิถีแห่งการดำเนินชีวิตของมนุษย์ถูกกำหนดไว้บน 2 แนวทางเพื่อเป็นปฐมบทในการเลือกสรรสำหรับตน และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือแนวทางที่ดำเนินไปสู่ความตกต่ำและการลงโทษของพระเจ้า ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วมิใช่แนวทางที่พระเจ้าทรงประสงค์
ปฐมบทดังกล่าวมาข้างต้นเป็นพื้นฐานสำหรับการวิพากในเรื่องวิทยปัญญา และความยุติธรรมของพระเจ้า (ในบทเรียนที่ 11 และ 20)
2. เจตนารมณ์เสรี การเลือกสรรอย่างรอบรู้และชาญฉลาด นอกเหนือจากการพลังอำนาจในการประกอบกิจกรรม ความเป็นไปได้ภายนอกสำหรับการกระทำกิจกรรมต่าง ๆ อารมณ์ความต้องการและความพยายามภายในที่มีไปยังสิ่งนั้นแล้ว ยังต้องมีความรู้จักที่ถูกต้องในภารกิจต่าง ๆ ทั้งในแง่ดีและแง่ที่ไม่ดี ตลอดจนการรู้จักแนวทางที่มีความเหมาะสมและไม่มีความเหมาะสมอีกต่างหาก ในกรณีที่มนุษย์สามารถเลือกแนวทางที่มีความสมบูรณ์สำหรับตนได้ด้วยเจตนารมณ์เสรีและความรอบรู้ อีกทั้งรู้จักเป้าหมายและแนวทางที่จะดำเนินไปถึงเป้าหมายเหล่านั้น ตลอดจนยังรู้จักแนวทางที่หันเหออกไปและแนวทางที่ก่อให้เกิดความเสียหายอีกด้วย ดังนั้น การกำหนดแห่งวิทยปัญญาของพระเจ้าคือ การมอบสื่อเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการรู้จักแนวทางเหล่านี้ไว้ในครอบครองของมนุษย์ ถ้ามิใช่เช่นนี้แล้วก็จะเป็นเหมือนบุคคลที่เชิญแขกมายังสถานที่จัดงาน แต่ไม่เคยบอกแขกเลยว่าจะเดินทางไปอย่างไรและสถานที่จัดงานอยู่ที่ไหน เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการกระทำเช่นนี้ขัดแย้งกับวิทยปัญญาและเป็นเหตุให้เป้าหมายเป้าบกพร่อง
นี่เป็นปฐมบทที่ชัดเจนไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เยื้อนเยื้อหรือมากไปกว่านี้
3. การรู้จักทั่ว ๆ ไปและความรอบรู้ของมนุษย์ ที่ได้รับมาโดยการร่วมมือของความรู้สึกและสติปัญญา ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะมีบทบาทสำคัญในการต่อเติมความสมบูรณ์ให้กับความต้องการของชีวิต กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อการรู้จักแนวทางสมบูรณ์ ความเจริญผาสุกที่แท้จริงในทุกแง่ทุกมุมของปัจเจกบุคคล สังคม ทางโลก ทางธรรม โลกนี้และปรโลกหน้า แน่นนอน ถ้าหากไม่มีแนวทางอื่นที่สามารถช่วยขจัดข้อบกพร่องดังกล่าวได้แล้ว เป้าหมายของพระเจ้าในการอุบัติมนุษย์ขึ้นมาก็จะไม่สัมฤทธิ์ผลอย่างเด็ดขาด
จากปฐมบทสามประการข้างต้นได้บทสรุปว่า ข้อกำหนดแห่งวิทยปัญญาของพระเจ้าคือ พระองค์ทรงกำหนดแนวทางอื่นที่นอกเหนือไปจากความรู้สึกและสติปัญญา สำหรับการรู้จักแนวทางสมบูรณ์มอบไว้ในครอบครองของมนุษย์ทุกคน เพื่อมนุษย์จะได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้นโดยตรงหรือโดยผ่านสื่อบุคคลหรือสิ่งอื่น (1) และสิ่งนั้นก็คือวะฮฺยู (วิวรณ์) พระองค์ทรงประทานแก่บรรดาศาสดาทั้งหลาย ซึ่งท่านเหล่านั้นและบุคคลอื่นต่างได้รับประโยชน์กันอย่างถ้วนหน้า และยังจัดหาสื่อและสิ่งจำเป็นเพื่อการไปถึงยังความผาสุกและความสมบูรณ์ขั้นสูงสุด
ระหว่างปฐมบทของเหตุผลทั้งหลายตามกล่าวมาข้างต้น เป็นไปได้ว่าปฐมบทสุดท้ายอาจเป็นที่เคลือบแคลงสงสัย ซึ่งต้องอาศัยการอธิบายเพิ่มเติมให้มากไปกว่านี้ เพื่อให้สติปัญญาไม่สมบูรณ์ของมนุษย์สามารถกำหนดแนวทางสมบูรณ์สำหรับมนุษย์ทุกคนได้ และเพื่อให้ความต้องการในวะฮฺยู (วิวรณ์) ของพระเจ้าเป็นที่ชัดเจนสำหรับมนุษย์
ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์
เพื่อการรู้จักแนวทางอันถูกต้องสำหรับการดำเนินชีวิตในทุก ๆ ด้านสิ่งจำเป็นที่ต้องรับรู้คือ การเริ่มต้นและการกระทำในส่วนของมนุษย์ พันธสัญญาที่ต้องทำกับสรรพสิ่งอื่น ตลอดจนความสัมพันธ์ซึ่งใช้เป็นสื่อในการติดสัมพันธ์กับสรรพสิ่งถูกสร้างทังหลาย ซึ่งผลสะท้อนอันหลากหลายสามารถพบได้ในความเจริญและความตกต่ำ เช่นเดียวกันจะต้องรับรู้ถึงผลลบหรือผลบวกในผลกำไรหรือความขาดทุน สิ่งดีงามและความเสียหายต่าง ๆ จะต้องได้รับการประเมินผล เพื่อกำหนดบทบาทและหน้าที่ของมนุษย์จำนวนหลายพันล้านคน ซึ่งแต่ละคนมีความพิเศษทางร่างกายและจิตใจไม่เหมือนกัน และดำรงชีวิตอยู่บนเงื่อนไขที่แตกต่างกันตามธรรมชาติและสังคม ซึ่งการควบคลุมภารกิจทั้งหมดเหล่านี้มิใช่หน้าที่ของคนเพียงคนเดียวหรือหลายคน ทว่าต่อให้คนหลายพันคนหรือหลายกลุ่มชนที่มีความชำนาญพิเศษในสาขาวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ก็ไม่สามารถค้นพบสูตรหรือตำรับตำราที่มีความสลับซับซ้อน และอธิบายเป็นกฎเกณฑ์ที่ละเอียดอ่อนในลักษณะที่ว่าเป็นเงื่อนไขรับรองความเหมาะสมของมนุษย์ทั้งหมดทั้งที่เป็นปัจเจกบุคคล สังคม ทางโลก ทางธรรม โลกนี้ และโลกหน้าได้ และในกรณีที่เกิดความขัดแย้งกันระหว่างความดีกับความเสียหาย –ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำ- จะต้องมีการกำหนดความเหมาะสมที่มีความสำคัญมากกว่าไว้อย่างละเอียดเป็นอันดับแรกก่อน
การเปลี่ยนแปลงกฎหมายและสิทธิต่าง ๆ ตลอดหน้าประวัติศาสตร์มนุษย์ชาตินั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าการค้นคว้าวิจัยและความเพียรพยายามของนักวิชาการจำนวนหลายพันคน ตลอดระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมาไม่สามารถกำหนดกฎหมายอันเป็นสิทธิที่ถูกต้องสมบูรณ์ครอบคลุมในทุก ๆ ด้านแก่สังคมโลกได้ ประกอบกับมีการประชุมเพื่อวิพากษ์ร่างกฎหมายและสิทธิเหล่านั้นที่พวกตนได้ร่างกำหนดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง มีการแก้ไขหรือยกเลิกบางมาตราออกไป หรือกำหนดมาตราขึ้นมาใหม่เพื่อให้สอดคล้องสมบูรณ์
ต้องไม่ลืมว่าการร่างกฎหมายระหว่างประเทศนี้ได้รับประโยชน์จากกฎระเบียบและระบบต่าง ๆ ของพระเจ้าอย่างมหาศาล แต่ต้องสำนึกไว้เสมอว่าความอุตสาหพยายามทั้งหมดของนักวิชาการและนักกฎหมายโลก ที่ได้ร่างกฎหมายเพื่อรับรองความสงบสุขของโลกและสังคม พวกเขาไม่มีวันให้ความสำคัญต่อร่างกฎหมายเพื่อรับรองโลกหน้าโดยเป็นการลดผลกำไรของพวกเขาที่มีต่อโลกนี้อย่างแน่นอน และจะไม่มีการกระทำในทำนองนี้เด็ดขาด แต่ถ้าพวกเขาต้องการที่จะรักษาสิทธิ์ทางด้านนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง แน่นอน พวกเขาจะไมมีวันได้บทสรุปที่แน่นอน เนื่องจากพวกเขาสามารถกำหนดผลประโยชน์อันเป็นวัตถุปัจจัยทางโลกได้ด้วยประสบการทางวิชาการ แต่ผลประโยชน์ทางด้านศีลธรรมและโลกหน้าไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสบการ และไม่สามารถประเมินผลทั้งในแง่บวกและในแง่ลบโดยละเอียดได้เช่นกัน และในกรณีที่เกิดความขัดแย้งกับผลประโยชน์ทางวัตถุและทางโลก พวกเขาก็จะทิ้งมาตรฐานการให้ความสำคัญของแต่ละประเภทไปโดยปริยาย
ดังนั้น เมื่อพิจารณากฎระเบียบของโลกมนุษย์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สามารถประเมินมาตรฐานทางความรู้ของมนุษย์ในหลายพันปีหรือหลายศตวรรษที่ผ่านมาได้ ซึ่งได้บทสรุปที่แน่นอนว่ามนุษย์ในยุคแรกไร้ความสามารถในการกำหนดแนวทางดำเนินชีวิตอันถูกต้องยิ่งกว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบัน สมมุติมนุษย์ในยุคนี้สามารถใช้ประสบการทางวิชาการหลายพันปีที่ผ่านมากำหนดกฎหมายที่ถูกต้องสมบูรณ์ขึ้นมาได้ หรือสมมุติว่าระบบเหล่านั้นสามารถรับประกันความสุขถาวรอันเป็นนิรันดรหรือรับรองโลกหน้าได้ ก็ยังคงมีคำถามต่อไปอีกว่าแล้วการที่ปล่อยให้ประชาชาติจำนวนหลายพันล้านคนในอดีตที่ผ่านมาตายจากไปบนความโง่เขลาของตน สิ่งเหล่านี้จะเข้ากับวิทยปัญญาของพระเจ้าในการอุบัติมนุษย์ได้อย่างไร
สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้น เป้าหมายในการสร้างมนุษย์ขึ้นมานับตั้งแต่แรกจนกระทั่งถึงขั้นตอนปฏิบัติ ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีแนวทางอื่นที่เหนือไปจากความรู้สึกและสติปัญญา เพื่อการรู้จักสัจธรรมความจริงในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ตลอดจนภารกิจหน้าที่ของตนและสังคม แน่นอน สิ่งนั้นจะเป็นอื่นใดไปมิได้นอกจากวะฮฺยู (วิวรณ์) ของพระเจ้า
ขณะเดียวกันเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าคำกล่าวอ้างของเหตุผลดังกล่าวคือ ในอันดับแรกมนุษย์ต้องเป็นศาสดาของพระเจ้า เพื่อจะได้รู้จักแนวทางการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องโดยผ่านสื่อของวะฮฺยู รู้จักเป้าหมายในการสร้างตน เพื่อว่าคนอื่นต่อมาจะได้รับการชี้นำจากตน
ประโยชน์ของการแต่งตั้งบรรดาศาสดา
บรรดาศาสดาของพระเจ้านอกจากมีหน้าที่แนะนำแนวทางที่ถูกต้องเพื่อการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ การรับวะฮฺยู (วิวรณ์) และการประกาศเผยแผ่สาส์นออกไปแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญอย่างอื่นในการพัฒนามนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์อีกต่างหาก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ
1. มีเรื่องราวมากมายที่สติปัญญาของมนุษย์หยั่งรู้ถึงสิ่งเหล่านั้น เพียงแต่ว่าต้องอาศัยกาลเวลาในอดีตหรือประสบการจำนวนมากมาย หรือผลแห่งความอุตสาหพยายามของประชาชาติเกี่ยวกับภารกิจทางโลก โดยสามารถเอาชนะอำนาจความเป็นเดรัจฉานในตัวเองเพียงแต่ว่าพลังดังกล่าวถูกลืมเลือนไปจากตน หรือผลจากการทดลองการทดสอบและการเผยแผ่ที่ไม่ดีที่ซ่อนเร้นอยู่ในหมู่ผู้คน ทั้งหมดเหล่านี้บรรดาศาสดาล้วนอธิบายได้ทั้งสิ้น และด้วยการกล่าวเตือนซ้ำกันบ่อย ๆ หลายครั้งอย่างต่อเนื่องสามารถป้องกันความหลงลืม และยังสามารถป้องกันการทดสอบที่ไม่ดีด้วยการทดลองที่ถูกต้องได้อีกด้วย
จากประเด็นนี้ทำให้เห็นว่าการตั้งสมยานามศาสดาว่าเป็นผู้ตักเตือน หรือการตั้งสมยานาม อัล-กุรอานว่า เป็นคำตักเตือนก็จะเด่นชัดขึ้นมาทันที
ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวถึงปรัชญาของการแต่งตั้งบรรดาศาสดาว่า อัลลอฮฺทรงประทานศาสดาของพระองค์ลงมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเรียกร้องความซื่อสัตย์ในคำมั่นสัญญาที่ประชาชนให้ไว้ เตือนให้พวกเขารำลึกถึงความโปรดปรานของพระองค์ที่ลืมเลือนไป และเผยแผ่สัจธรรมเพื่อให้ข้อพิสูจน์ของพระองค์ในหมู่พวกเขาสมบูรณ์
2. หนึ่งในปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอบรมสั่งสอนคือ แบบอย่างทางความประพฤติซึ่งความสำคัญของมันวิชาการด้านจิตวิทยาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว บรรดาศาสดาของพระเจ้าถือเป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์ที่ผ่านการอบรมสั่งสอนจากพระเจ้าแล้ว ซึ่งสามารถให้รูปแบบที่สมบูรณ์ยิ่งกว่าเพราะนอกจากการเผยแผ่สาส์น และการสอนวิชาการต่าง ๆ แล้ว บรรดาศาสดายังได้ทุ่มเทเวลาให้กับการอบรมสั่งสอน การขัดเกลา และการยกระดับจิตใจของประชาชนอีกต่างหาก ดังเป็นที่ประจักษ์ว่าอัล-กุรอาน มักกล่าวถึงเรื่องการอบรมสั่งสอนและการขัดเกลาจิตใจไว้เคียงคู่กันเสมอ จะมีบางครั้งที่ อัล-กุรอานกล่าวถึงเรื่องการขัดเกลาจิตใจไว้หน้าก่อนการอบรมสั่งสอน
3. ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งของความจำเริญในการแต่งตั้งบรรดาศาสดาไว้ในหมู่ประชาชาติก็คือ การเป็นผู้นำในกรณีที่สังคมทีความพร้อมบนเงื่อนไขจำเป็นสำหรับการมีผู้นำสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ เป็นที่ชัดเจนว่าการมีผู้นำที่เป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากบาปถือเป็นความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่จากพระเจ้าที่มีต่อสังคม ซึ่งปัญหาความเลวร้ายและความต่ำทรามทางสังคมสามารถป้องกันมิให้เกิดขึ้นได้โดยสื่อของบรรดาท่านเหล่านั้น อีกทั้งยังช่วยให้สังคมรอดพ้นจากความขัดแย้งและความแตกแยกโดยขับเคลื่อนไปสู่ความสมบูรณ์ อันเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการมีผู้นำที่ดีนั่นเอง
คำถามท้ายบท
1. เป้าหมายของการอุบัติมนุษย์มาเพื่ออะไร
2. พระประสงค์ของพระเจ้าผู้ทรงเดชานุภาพในการลงโทษมนุษย์ จะเหมือนกับความสุขถาวรและความเมตตาหรือไม่ หรือมีความแตกต่างกันในระหว่างทั้งสอง
3. ภารกิจการงานที่เกิดจากเจตนารมณ์เสรี หรือการหยั่งรู้ในการเลือกสรรยังต้องอาศัยภารกิจอันใดอีกหรือ
4. เพราะเหตุใดสติปัญญาของมนุษย์จึงไม่เพียงพอในการสนับสนุน การรู้จักที่จำเป็นทั้งหมด
5. จงอธิบายเหตุผลจำเป็นในการแต่งตั้งบรรดาศาสดามา
6. สมมุติว่ามนุษย์สามารถใช้ประสบการทางวิชาการอันยาวนาน รู้จักแนวทางอันผาสุกแห่งโลกและสังคมของตน ถามว่าเขายังต้องการวะฮฺยูอีกไหม ทำไม
7. จงอธิบายประโยชน์ของการมีศาสดามา