') //-->
เมือเมฆหมอก บดบังพระอาทิตย์ พื้นแผ่นดินและท้องทะเลทรายถูกปิดกั้นจากแสงแดด ต้นหญ้าและธัญพืชต่างแห้งเหี่ยวเฉาตาย เมื่อเป็นดังนั้นอะไรจะเกิดขึ้น
เมื่อโลกถูกรังสรรค์ขึ้นมาสิ่งดีและความสวยงามได้ปรากฏโฉมขึ้นบนโลกนี้ และแล้วเหตุการณ์แห่งกายเร้นกายของอิมามก็เกิดขึ้น ประชาโลกทั้งหลายต่างถูกกีดกั้นจากการได้รับปรานีจากการปรากฏกายของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) เมื่อเป็นดังนั้นโลกจะสามารถทำสิ่งใดได้
หมู่มวลแมกไม้ได้ประดับดาสวนให้มีความสวยงาม ความสวยงามและความหอมระรื่นของมวลบุบผามาลีบ่งบอกถึงความสามารถและความอุตสาหะของคนสวน มือที่เปี่ยมล้นด้วยความเมตตาได้ยื่นน้ำให้เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตที่เหี่ยวเฉา ดวงใจที่เอ่อล้นความรัก และดวงตาที่ไม่เคยหลับใหลต่างเฝ้าคอยการกลับมาของผู้เยียวยาความบอบช้ำ ณ ตรงนี้เองที่การรอคอยได้เริ่มต้นขึ้น แน่นอน ทุกคนคอยการกลับมาของท่านอิมามเมื่อสร้างความสุขสดชื่นแก่ประชาโลกทั้งหลาย
แน่นอน ในการรอคอยนั้นมีความสวยงามและความหวานชื่น ถ้าหากสายตาของเรารู้จักความสวยงาม และหัวใจก้าวเดินอยู่บนความหวานชื่น
แก่นแท้และสภานะภาพทีแท้จริงของการรอคอย
สำหรับการรอคอยมีการอธิบายความหมายที่แตกต่างกัน แต่ถ้าพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของการรอคอยได้ การรอคอย หมายถึงการทอดสายตาไปยังเส้นทางเิดิน อันเป็นการจ้องมองที่มีคุณค่า มีผล และมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น การรอคอยมิได้เป็นสภาวะของจิตด้านในเพียงอย่างเดียว ทว่าเป็นอิทธิพลจากผลภายในที่ส่งมาสู่ด้านนอก ก่อให้เกิดการตัดสินใจและการเคลื่อนไหว ด้วยเหตุนี้ รายงานจึงกล่าวว่าการรอคอยเป็นการกระทำอย่างหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ดีที่สุด การรอคอยเกิดขึ้นเนื่องจากมีผู้รอคอย ความเพียรพยายามของเขาก่อให้เกิดทิศทางที่จะเดินไปสู่ และทิศทางนั้นจะไปสิ้นสุดที่แก่นแท้ของสิ่งที่ตนรอคอย
ฉะนั้น การรอคอยถ้าหากนั่งคอยเพียงประการเดียวจะไม่มีความหมายอันใดทั้งสิ้น การรอคอยในลักษณะที่ว่าสายตาจับจ้องอยู่ที่ประตูแน่นอนมันจะไม่มีวันจบสิ้น ดังนั้น แก่นแท้ของการรอคอยคือการเคลื่อนไหว ความกระตือรือร้น และการก้าวไปสู่จุดหมายที่รอคอย
ในการรอคอยแขกคนหนึ่งที่ตนไม่รู้จักเขาดีเจ้าของบ้านจะกุรีกุจอสร้างบรรยากาศของการต้อนรับ เพื่อรอรับแขกผู้มีเกียรติของตน ขณะเดียวกันเจ้าของบ้านจะพยายามขจัดอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ ที่จะมารบกวนเพื่อไม่ให้แขกมาร่วมงาน
การสนทนาถึงเรื่องการรอคอยสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดเหมือน ซึ่งความสวยงามและความสมบูรณ์ของสิ่งนั้นไม่มีที่สิ้นสุด การรอคอยวันซึ่งความเขียวขจีของมันไม่เคยมีมาก่อนในอดีต และโลกไม่เคยได้สัมผัสความงดงามนั้น และนี่คือการรอคอยรัฐบาลโลกของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ซึ่งรายงานส่วนใหญ่กล่าวเรียกว่าเป็นการรอคอยการปรากฏกายของอิมาม (อ.) และจัดว่าเป็นการแสดงความเคารพภักดี (อิบาะฮฺ) ที่ดีที่สุด ทว่าถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การตอบรับการกระทำอื่น ๆ
ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า การงานที่ดีที่สุดคือ การรอคอยการปรากฏกายของอิมามมะฮฺดียฺ[1]
อิมามซอดิก (อ.) กล่าวกับสาวกของท่านว่า พวกเจ้าจะไม่ให้ฉันบอกหรือว่ามีสิ่งหนึ่งถ้าไม่มีบุคคลใดรู้จัก พระเจ้าจะไม่ทรงตอบรับการงานของพวกเขา พวกเขากล่าวว่า เชิญบอกพวกเรามาเถิด อิมามกล่าวว่า ขอสาบานด้วยพระนามแห่งพระเจ้า และสภาวการณ์เป็นศาสดาของท่านศาสนทูตแห่งอิสลามว่า การยอมจำนนต่อบัญชาที่พระเจ้าทรงดำรัสไว้ ยอมรับวิลายะฮฺของเรา และเป็นศัตรูกับผู้ที่เป็นศัตรูกับเรา (หมายถึงบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์) เชื่อฟังปฏิบัติตามเรา สำรวมตนจากบาปและรอคอยกออิม (อ.) ของเราการงานของเจ้าจะถูกตอบรับ[2]
ด้วยเหตุนี้ การรอคอยการปรากฏกายของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) มีความพิเศษที่เฉพาะเจาะจงสำหรับอิมาม และเป็นความจำเป็นที่ประชาชาติทั้งหลายต้องรับรู้ เพื่อจะได้เข้าใจถึงความเร้นลับ และความประเสริฐของสิ่งนั้นที่จะกล่าวต่อไป
ความพิเศษของการรอคอย
ดังกล่าวไปแล้วว่า การรอคอยเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ ซึ่งมีอยู่ในทุกเชื้อชาติ ทุกภาษา และทุกศาสนา การรอคอยโดยทั่วไปที่มักเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกคน ในสังคมต่าง ๆ แม้ว่าจะเป็นการรอคอยที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการรอคอยอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ผู้บริหารโลกการรอคอยเหล่านั้นจะไร้ความสำคัญและเล็กลงทันที เนื่องจากการรอคอยอิมามมีความเป็นพิเศษอยู่ในตัว เช่น
การรอคอยการปรากฏกายของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) เป็นการรอคอยที่เกิดขึ้นพร้อมกับการสร้างโลก หมายถึงเป็นการรอคอยที่มีมาอย่างยาวนาน บรรดาศาสดาทั้งหลาย และมวลมิตรของพระองค์ต่างแจ้งข่าวการมาของอิมามไว้ล่วงหน้าทั้งสิ้น และในระยะเวลาอันใกล้นี้บรรดาอิมามทุกท่านต่างมีความหวังในการจัดตั้งรัฐบาลของท่าน
อิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า ถ้าฉันได้สัมผัสเขา ฉันจะขอรับใช้เขาตลอดชีวิตจะหาไม่[3]
การรอคอยการปรากฏกายของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) เป็นการรอคอยผู้ที่จะมาปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงโลก เป็นการรอคอยรัฐบาลโลกที่เที่ยงธรรมอย่างยิ่ง เป็นการรอคอยการกำเนิดความดีงามทั้งหลาย ในการรอคอยนี้สายตาทุกดวงของประชาชาติต่างจ้องมองอยู่ที่แนวทาง เพื่อมองดูสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างบนพื้นฐานของธรรมชาติที่สะอาดที่สุด อันเป็นความหวังของประชาชาติทั้งหลาย แต่ไม่มีผู้ใ้ดได้สัมผัสหรือเห็นอย่างสมบูรณ์ อิมามมะฮฺดียฺ (อ.) คือความสมบูรณ์ ความยุติธรรม จริยธรรม ความเป็นพี่น้อง ความสมดุล การพัฒนา ความสงบ และความสันติ และเป็นยุคของการเติบโตทางสติปัญญาและวิชาการของมนุษย์ ซึ่งจะถูกวิวัฒนาการขึ้นเพื่อปรับปรุงสังคม ขณะเดี่ยวกันเป็นการทำลายระบบทุนนิยม และจักรวรรดินิยมให้หมดไปจากโลก เป็นการปฏิเสธระบบการกดขี่ข่มเหงและการเอารัดเอาเปรียบทางสังคม อีกทั้งควบคลุมไม่ให้สังคมถูกโน้มนำไปสู่ความต่ำทรามทั้งด้านความเชื่อ และจริยธรรม
การรอคอยการปรากฏกายของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ในหมู่ของผู้ที่รอคอย จะถูกสร้างให้เป็นมิตรสหายและผู้คอยช่วยเหลืออิมามโดยปริยาย อิมามจะให้สติสัมปชัญญะและชีวิตอันดีงามแก่มนุษย์ บางครั้งจะช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นจากการดำเนินชีวิตที่ไ้ร้จุดหมายปลายทาง
สิ่งที่กล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งของความพิเศษในการรอคอยอิมามมะฮฺดี (อ.) ถูกบันทึกอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ ซึ่งรากฐานของมันถูกตรึงอยู่หัวใจทุกดวงชนิดที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย ไม่มีการรอคอยใดบนโลกจะยิ่งใหญ่ไปกว่าหรือเทียบเท่าการรอคอยอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ด้วยเหตุนี้ จำเป็นต้องรู้จักวิสัยทัศน์และผลสะท้อนจำนวนมากมายในการรอคอยอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) หน้าที่ของผู้ที่รอคอย และผลบุญในการรอคอย
วิสัยทัศน์ในการรอคอย
มนุษย์เมื่อพิจารณาจากด้านต่าง ๆ จะพบว่าในตัวเขามีมุมมองหลากหลาย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นมุมมองด้านทัศนะคติและการกระทำ มุมมองด้านสังคมและปัจเจกชน อีกด้านหนึ่งเป็นมุมมองเกี่ยวกับสรีระและจิตวิญญาณ และไม่เป็นที่สงสัยว่ามุมมองต่าง ๆ ที่กล่าวมาล้วนวางอยู่บนเงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจงเพื่อจะได้สามารถดำรงชีวิตอยู่ภายในกรอบนั้นอย่างถูกต้องและปลอดภัย อีกด้านหนึ่งเท่ากับเป็นการปิดกั้นแนวทางที่หันเหออกไป ซึ่งแนวทางที่ถูกต้องตรงนี้หมายถึง การรอคอยการปรากฏกายของอิมามนั่นเอง
การรอคอยการปรากฏกายของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) มีผลต่อมุมมองด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ ซึ่งจะช่วยปกป้องทัศนะคติซึ่งมีการกระทำและความประพฤติอยู่ภายการดูแล และความเชื่อซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของชีวิต อีกนัยหนึ่งการรอคอยที่ถูกต้องจะเรียกร้องให้ผู้รอคอยทั้งหลายวางตนอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ถูกต้อง และใกล้เคียงกันเพื่อจะได้รอดพ้นจากแนวความคิดและความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง หรืออย่างน้อยจะได้ไม่ผิดหวังต่อการรอคอยในช่วงการเร้นกายที่ยาวนาน
อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) กล่าวว่า วันหนึ่งจะมาถึงประชาชน ซึ่งอิมามของเขาจะเร้นกายหายไป ฉันยินดีกับผู้ที่ยึดมั่นอยู่กับวิลายะฮฺของเราในช่วงวันเวลาเหล่านั้น[4]
หมายถึงในช่วงการเร้นกายของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) บรรดาศัตรูจะใช้เล่ห์เหลี่ยมยมและแผนการต่าง ๆ โจมตีเพื่อทำลายความเชื่อที่ถูกต้องของชีอะฮฺให้เกิดความไขว่เขว แต่ด้วย อนิจสงค์ของการรอคอยได้ปกป้องรักษาชายแดนแห่งความเชื่อเอาไว้อย่างมั่นคง
ในมุมมองของการปฏิบัติ การรอคอยได้ให้แนวคิดต่อการกระทำและความประพฤติของมนุษย์ ผู้รอคอยทุกคนเมื่อเข้าสู่สนามจะต้องพยายามอย่างยิ่งเพื่อให้ปรากฏรัฐบาลโลกของมะฮฺดียฺ ฉะนั้น ผู้รอคอยในมุมมองนี้จะต้องให้การสนับสนุนการสร้างและพัฒนาตนเองไปพร้อมกับการพัฒนาสังคม ส่วนในมุมมองที่เป็นปัจเจกบุคคล นอกจากจะต้องพัฒนาและยกระดับจิตใจของตนเสมอ เพื่อสร้างสรรค์จริยธรรมอันดีงามและจำเป็นต้องพัฒนาด้านร่างกายให้มีความสมบูรณ์แข็งแรงเตรียมพร้อมสำการเข้าสู่ภาพสนาม
อิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า บุคคลที่ปรารถนาจะเป็นพลพรรคของกออิม (อ.) ดังนั้น จงรอคอยเขา ขณะที่รอคอยจะต้องสำรวมตนจากความชั่ว และประพฤติแต่ความดีงาม[5]
ความพิเศษในการรอคอยคือ ทำให้มนุษย์อยู่เหนือขอบเขตของตัวเอง มีสัมพันธ์กับสมาชิกทุกคนในสังคม หมายถึงการรอคอยอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ไม่เพียงแต่จะมีผลกับบุคคลเพียงอย่างเดียว ทว่ามีผลอย่างยิ่งกับสังคม อิมามทำให้เกิดผลในทางบวกบังแก่สังคม เนื่องจากเงื่อนไขของการปรากฏกายและรัฐบาลโลกของมะฮฺดียฺ (อ.) เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่ต้องเตรียมพร้อม ทุกคนมีความสามารถช่วยเหลือและปรับปรุงสังคมเท่าความสมารถของตน พวกเขาไม่นิ่งเฉยต่อการเอาเปรียบและการกดขี่ทางสังคม เพราะผู้รอคอยผู้ปรับปรุงโลกย่อมมีการวางแผนที่ถูกต้องทั้งด้านการกระทำและความคิด
อีกนัยหนึ่งสามารถกล่าวได้ว่าการรอคอยเป็นเรื่องที่มีความสิริมงคล ซึมซาบอยู่ในชีวิตมนุษย์ทั้งส่วนตัวและสังคมส่วนรวม และในทุก ๆ ช่วงชีวิตจะถูกย้อมสีด้วยสีสันของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งไม่มีสีใดจะดีและมีความถาวรยิ่งไปกว่าสีของพระผู้เป็นเ้จ้า
อัล-กุรอาน กล่าวว่า การย้อมของอัลลอฮฺ และใครเล่าจะย้อมดียิ่งไปกว่าอัลลอฮฺ [6]
สิ่งที่กล่าวมา ทำให้ทราบว่าหน้าที่ของผู้รอคอยผู้ปรับปรุงโลกไม่มีสิ่งใดเกินเลยไปจาก การย้อมสีชีวิตด้วยสีสันของพระเจ้า ซึ่งความเป็นสิริมงคลในการรอคอยอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) จะสร้างความสวยงามแก่ชีวิตทั้งส่วนตัวและสังคมไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ที่ใดก็ตาม ดังนั้น เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนจะพบว่า หน้าที่ของผู้รอคอยทั้งหลายมิใช่ความหนักอึ้งอยู่บนไหล่ทั้งสองอีกต่อไป ทว่าเป็นเรื่องราวที่มีความหวานชื่นแอบแฝงอยู่ ทำให้ทุกมุมมองของชีวิตมีความหมายและมีความสวยงาม แน่นอน ถ้าผู้บังคับบัญชาเป็นผู้มีความเมตตาการุณย์ หัวหน้าระดับรองลงมาได้แสดงความปรานีโดยเชิญท่านให้ไปเป็นทหารคนสนิทคอยเฝ้าดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ท่านอย่างใกล้ชิด และสมมติว่าวันนั้นท่านได้ปรากฏอยู่ ณ ค่ายแห่งสัจธรรมอันเป็นค่ายที่ท่านรอคอยมานานท่านจะทำอย่างไร ท่านจะคอยให้ผู้บังคับบัญชาสั่งการและกำหนดบทบาทแก่ท่าน พร้อมกับรอให้ท่านสั่งให้กระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือว่าท่านจะกระทำเองเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายเร็วขึ้น เนื่องจากท่านเข้าใจและรู้จักแนวทางการรอคอยเป็นอย่างดี
หน้าที่ผู้รอคอย
รายงานจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ได้อธิบายเกี่ยวกับหน้าที่ของผู้รอคอยการปรากฏกายของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ไว้หลายประการ ณ ที่นี่ จะขอนำเสนอบางประการเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีงาม เช่น
1. การรู้จักอิมาม
การสร้างพันธะสัญญาว่าตนจะเป็นผู้หนึ่งที่รอคอยการปรากฏกายของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) แต่ว่าไม่เคยรู้จักอิมามว่าเป็นใคร การรอคอยเช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไร การยืนหยัดอย่างมั่นคงในการรอคอยอิมามขึ้นอยู่กับการรู้จักท่านอย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ นอกจากจะรู้จักชื่อและสายตระกูลของท่านแล้ว จำเป็นต้องรู้จักสถานภาพและฐานันดรที่แท้จริงของอิมามอย่างเพียงพอด้วย
อบูบะซีร เป็นหนึ่งในผู้ปรนิบัติรับใช้อิมามฮะซันอัซการีย์ (อ.) เขาได้เข้าพบอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ก่อนที่ท่านจะเร้นกาย อิมาม ถามอบูบะซีรว่า ท่านรู้จักฉันไหม ตอบว่า ครับ ข้าฯรู้เจ้าท่านดีท่านคือนายของเราเป็นบุตรของอิมามฮะํซันอัซการีย์ (อ.) อิมาม กล่าวว่า จุดประสงค์ของฉันไม่ใช่การรู้จักเช่นนี้ อบูบะซีร จึงกล่าวว่าขอเชิญท่านอธิบายแก่ฉันเถิด
อิมาม (อ.) กล่าวว่า ฉันคือตัวแทนคนสุดท้ายของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ด้วยบะเราะกัตของฉัน พระผู้เป็นเจ้าทรงขจัดการทดสอบและการลงโทษให้พ้นไปจากครอบครัวและชีอะฮฺของฉัน[7]
ถ้าบรรดาผู้รอคอยอิมามรู้จักอิมามของตน ณ บัดนี้เขาย่อมมีความรู้สึกว่าเขามองเห็นสนามรบของอิมามอยู่ตรงหน้า เขากำลังยืนคอยระวังความปลอดภัย ณ เต็นท์ที่พักของอิมามอย่างใกล้ชิด ฉะนั้น เขาจะไม่ยอมท้อแท้ที่จะเสริมความเข็มแข็งให้กับกองกำลังของอิมามเด็ดขาด
อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) กล่าวว่า
مَنْ مَاتَ وَهُوَ عَارِفٌ لاِمَامِهِ لَمْ يَضُرُّهُ تَقَدَّمَ هَذَا الامْرِ اَوْ تَأَخَّرَ وَ مَنْ مَاتَ وَهُوَ عَارِفٌ لاِ مَامِهِ كَانَ كَمَنْ هُوَ مَعَ الْقَائِمِ فِى فُسْطَانِهِ
บุคคลใดตายไป ขณะที่เขารู้จักอิมามของตนอย่างดีความเสียหายจะไม่เกิดกับเขาแน่นอน ไม่ว่าการปรากฏกายของอิมามจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้าก็ตาม และบุคคลที่ตายไปขณะที่เขารู้จักอิมามของตนอย่างดี เสมือนว่าเขาได้อยู่ร่วมเต็นท์ที่พักเดียวกันกับอิมาม[8]
กล่าวว่าการรู้จักอิมามมีความสำคัญอย่างยิ่ง บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) จึงสาธยายไว้อย่างมากมาย ดังนั้น เพื่อให้สมประสงค์ในการรู้จักอิมามจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องวิงวอนต่อพระผู้เป็นเ้จ้าเพื่อให้พระองค์ประทานการรู้จักนั้นแก่เรา
อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวว่า ในช่วงการเร้นกายอันยาวของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ลัทธิที่หลงทาง จะเกิดความคลางแคลงใจอย่างมากใน (เรื่องความเชื่อและศาสนาของตน) ซุรรอเราะฮฺ สาวกที่ใกล้ชิดของอิมาม กล่าวว่า ถ้าฉันอยู่ในช่วงกาลเวลานั้น ฉันจะทำสิ่งใดดี
อิมาม (อ.) กล่าวว่า ท่านจงอ่านดุอาอ์ต่อไปนี้
اَللَّهُمَّ عَرِّفْنِىْ نَفْسَكَ فَاِنَّكَ اِنْ لَمْ تُعَرِّفْنِى نَفْسَكَ لًمْ اَعْرِفْ نَبِيَّكَ اَللَّهُمَّ عَرِّفْنِىْ رَسُوْلَكَ فَاِنَّكَ اِنْ لَمْ تُعَرِّفْنِى رَسُوْلَكَ لًمْ اَعْرِفْ حُجَّتَكَ اَللَّهُمَّ عَرِّفْنِىْ حُجَّتَكَ فَاِنَّكَ اِنْ لَمْ تُعَرِّفْنِى حُجَّتَكَ ضَلَلْتُ عَنْ دِيْنِى
โอ้ อัลลอฮฺ ได้ทรงโปรดแนะนำให้ข้าพระองค์ได้รู้จักพระองค์ เพราะหากพระองค์ไม่ทรงโปรดให้ข้าฯ รู้จักพระองค์ ข้าฯ ก็ไม่อาจรู้จักศาสดาของพระองค์ได้ โอ้ อัลลอฮฺได้ทรงโปรดแนะนำข้าพระองค์ให้รู้จักศาสดาของพระองค์ เพราะหากพระองค์ไม่ทรงโปรดให้ข้าฯ รู้จักศาสดาของพระองค์ ข้าฯก็ไม่อาจรู้จักผู้เป็นข้อพิสูจน์ของพระองค์ โอ้ อัลลอฮฺได้ทรงโปรดแนะนำให้ข้าพระองค์ ได้รู้จักผู้เป็นข้อพิสูจน์ของพระองค์ เพราะหากพระองค์ไม่ทรงโปรดให้ข้าฯ ได้รู้จักผู้เป็นข้อพิสูจน์ของพระองค์แล้ว เท่ากับข้าฯ หลงผิดไปจากศาสนาของข้าพระองค์[9]
สิ่งที่กล่าวมาเป็นการแนะนำให้รู้จักฐานันดรของอิมามในระบบของการสร้าง อิมามคือข้อพิสูจน์ของพระผู้อภิบาล เป็นตัวแทนของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และเป็นผู้นำของประชาชาติ ซึ่งเป็นข้อบังคับสำหรับทุกคนที่ต้องเชื่อฟังปฏิบัติตาม เนื่องจากการเชื่อฟังปฏิบัติตามอิมามคือ การเชื่อฟังปฏิบัติตามพระเจ้า
หนึ่งในแนวทางการรู้จักอิมามคือ การรู้จักชีวประวัติ แบบฉบับ และคุณสมบัติของอิมาม ซึ่งแนวทางนี้จะมีผลในทางปฏิบัติเกี่ยวกับความประพฤติ จริยธรรม และการขัดเกลาตนเองของผู้รอคอยแน่นอน ถ้าบุคคลนั้นรู้จักอิมามในมุมมองต่าง ๆ ทั้งด้านชีวประวัติ และการเป็นข้อพิสูจน์ของพระเจ้าลึกซึ้งมากเท่าใด ก็จะมีผลต่อบุคคลดังกล่าวมากเท่านั้น
2. แบบอย่างที่ถูกยอมรับ
เมื่อรู้จักอิมามพร้อมกับสถานภาพที่สูงเด่นและจริยธรรมอันประเสริฐของท่านแล้ว สิ่งที่จะขอกล่าวต่อไปคือ การเชื่อฟังปฏิบัติตามแบบอย่างอันที่เป็นยอมรับและเป็นแหล่งความสมบูรณ์ทั้งหลาย
ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีสำหรับผู้ที่ได้สัมผัสกออิมแห่งครอบครัวของเรา ขณะที่เขาเชื่อฟังปฏิบัติตามกออิมก่อนที่จะปรากฏกาย และเชื่อฟังปฏิบัติตามอิมามก่อนหน้านั้น อีกทั้งพวกเขาประกาศตนเป็นศัตรูและออกห่างจากศัตรูของบรรดาอิมาม พวกเขาคือมวลมิตรและเป็นพรรคพวกของฉัน ณ ฉันแล้วพวกเขาเป็นประชาชาติที่มีเกียรติที่สุด[10]
สำหรับบุคคลที่มีความสำรวมตนจากบาป แสดงความเคารพภักดี ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีเกียรติ มีความอดทน จริยธรรมของเขาเชื่อฟังและปฏิบัติตามแบบอย่างของอิมาม แน่นอน พวกเขาย่อมมีฐานันดรอันสูงส่ง ณ ท่านศาสดาผู้เป็นศาสนทูตแห่งพระเจ้าและอิมามแห่งยุคสมัยผู้เร้นกายอยู่ในปัจจุบัน และเมื่อถึงเวลาแห่งการปรากฏกายพวกเขาจะมีความสูงส่งสักปรานใด
สิ่งเหล่านี้มิใช่ผลพวงของผู้ที่รอคอยการปรากฏกายดอกหรือ ซึ่งพวกเขาเรียกร้องแต่ปรากฏการที่มีความสวยงามให้บังเกิดบนโลกนี้ พันธนาการตัวเองเข้ากับความดีมา และออกห่างจากความชั่วร้าย ในหนทางแห่งการรอคอยพวกเขาระวังรักษาการกระทำและความคิดของตนมาโดยตลอด มิเช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คงติดกับดักของซาตานมารร้ายไปแล้ว ความห่างไกลเป็นมุมทแยงระหว่างเขากับผู้มีคุณธรรมทั้งหลายก็คงจะทวีขึ้นเรื่อย ๆ ไปตามลำดับ สิ่งนี้เป็นสัจธรรมอย่างแท้จริง ดังที่อิมามมะฮฺดียฺ (อ.) กล่าวว่า
فَمَا يَحْسِبُنَا عَنْهُمْ اِلاَّ مَا يَتَّصِلُ بِنَا مِمَّا نُكْرِهُهُ وَلاَ نُؤْثِرُهُ مِنْهُمْ
ไม่มีสิ่งใดแยกเราออกจากชีอะฮฺได้ เว้นเสียแต่ว่าภารกิจของพวกเขาที่ถูกส่งมายังเรา มิได้สร้างความปลาบปลื้มแก่เรา ซึ่งเรามิได้รอคอยสิ่งนี้จากพวกเขา[11]
บั้นปลายสุดท้ายของผู้รอคอยทั้งหลายคือ การได้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลของมะฮฺดียฺ (อ.) ซึ่งเป็นรัฐบาลโลกที่มีความสถิตยุติธรรมมากที่สุด สิ่งนี้เป็นเกียรติยศสำหรับพลพรรคและผู้ช่วยเหลือข้อพิสูจน์สุดท้ายแห่งพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งจะไม่สามารถบังเกิดขึ้นได้ เว้นเสียแต่ว่าบุคคลนั้นได้ขัดเกลาจิตวิญญาณของตน ยกระดับจิตใจ และเป็นผู้มีคุณธรรมและศีลธรรมอันสูงส่ง
อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวว่า
مَنْ سَرَّهُ اَنْ يَكُوْنَ مِنْ اًصْحَابِ الْقَائمِ فَلْيَنْتَظِرُ وَ لْيَعْمَلْ بِالْوَرَعِ وَ مَحَاسِنٍ الاَ خْلاَقِ وَ هُوَ مُنْتَظِرْ
บุคคลใดก็ตามปรารถนาเป็นพลพรรคของมะฮฺดียฺ เขาจำเป็นต้องรอคอย และขณะที่รอคอยเขามีความสำรวมตนจากความผิดมีจริยธรรม และประพฤติปฏิบัติแต่ความดีงาม แน่นอน เขาคือผู้รอคอย[12]
เป็นที่ชัดเจนว่า ไม่มีแนวทางใดที่จะสรรสร้างให้อุดมการณ์ดังกล่าวบังเกิดขึ้น นอกจากแบบอย่างอันเป็นแนวทางของอิมามผู้บริสุทธิ์ ซึ่งท่านจะไม่สามารถพบได้ในแนวทางอื่น
3. การรำลึกถึงอิมาม
สิ่งที่สามารถสร้างการรู้จักได้อย่างระหว่างอิมามกับบรรดาผู้รอคอย และเป็นการสร้างความมั่นคงในการรอคอยได้อย่างต่อเนื่องคือ การสร้างความสัมพันธ์อันดีงามกับแพทย์ผู้บำบัดอาการป่วยไข้ของจิตวิญญาณ
แน่นอน เมื่ออิมามเป็นเจ้าภาพเชิญต้อนรับประชาชาติท่านมีหน้าที่ดูแลแขกของท่านให้ทั่วถึงไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ท่านจะไม่ลืมเลือนพวกเขาแม้สักนาทีเดียว ฉะนั้น สมควรแล้วหรือที่แขกจะลืมเจ้าภาพโดยไม่สนใจใยดีต่อคำเชิญและหมกมุ่นอยู่กับความซิวิไลของโลก ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะรำลึกถึงท่านมอบความเป็นมิตร ความรัก และคิดถึงท่านก่อนก่อนผู้อื่นใดเสมอ ทุกครั้งที่ยกมือวิงวอนต่อพระเจ้าเราจะเริ่มต้นที่ท่านก่อนโดยขอวิงวอนให้ท่านมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง และปรากฏกายในเร็ววัน เนื่องจากท่านกล่าวว่า จงวิงวอนให้มากเพื่อการปรากฏกายของฉัน[13]
اَللَّهُمَّ كُنْ لِوَلِيِّكَ الحُجَّةِ بْنِ الحَسَنِ صَلَوَاتُكَ عَلَيْهِ وَ عَلَى آبَائِهِ فِى هَذِهِ السَّاعَةِ وَ فِى كُلِّ سَاعَةٍ وَ لِيًّا وَ حَافِظًا وَ قَائِدًا وَ نَاصِرَا وَ دَلِيْلاً وَ عَيْنًا حَتَّى تُسْكِنَهُ اَرْضَكَ طَوْعًا وَ تُمَتِّعَهُ فِيْهَا طَوِيْلاً
โอ้ อัลลอฮฺ ขอทรงโปรดประสาทพรของพระองค์แด่ผู้เป็นผู้ปกครองของพระองค์ ฮุจญะติบนิลฮะซัน และครอบครัวของท่าน ในเวลานี้และในทุก ๆ กาลเวลา ท่านคือผู้ปกครอง ผู้ปกป้องดูแล ผู้นำ ผู้ช่วยเหลือและเป็นผู้ชี้นำทาง โปรดดูแลรักษาท่าน จนกระทั่ง (ถึงเวลานั้น) พระองค์ทรงมอบที่พำนักให้ท่านด้วยความปราโมทย์ยินดี และทรงทำให้ท่านเป็นประโยชน์แก่แผ่นดินอย่างยาวนานเถิด
บรรดาผู้รอคอยที่แท้จริง ทุกครั้งที่ท่่านจะบริจาคทาน (เซาะดะเกาะฮฺ) โปรดตั้งเจตนาเพื่อสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ก่อนเป็นอันดับแรก และไม่ว่าท่านจะกระทำภารกิจการงานใด ๆ จงวิงวอน (ตะวัซซุล) ผ่านท่านเสมอ พร้อมกับเรียกร้องการปรากฏกายของท่านเยี่ยงผู้ถวิลหาอย่างแท้จริง ดังบทขอพรวรรคหนึ่งพรรณนาว่า
عَزِيْزُ عَلَيَّ أَنْ اَرَى الخَلْقَ وَ لاَ تُرَى
ช่างเป็นความรันทดใจสำหรับข้าฯ เสียเหลือเกินที่มองหาทุกที่แต่ไม่พบท่าน[14]
ท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) จะเข้าร่วมการจัดงานสังสรรค์ งานปราศรัย หรืองานประชุมพบปะภายใต้ชื่อของท่านทุกครั้ง เพื่อต่อเติมความรักที่บรรดาผู้รอคอยมีต่อท่านให้ทวีความมั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น อิมามจะไปมาหาสู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่มอบให้เป็นสิทธิ์ของท่าน เช่น มัสญิดซุฮฺละฮฺ มัสญิดจามกะรอน หรือซัรดาบอันศักดิืสิทธิ์ (สถานที่ ๆ อิมามเร้นกายหายไป)
ภาพที่สวยงามที่สุดสำหรับการรำลึกถึงอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) สำหรับผู้ที่รอคอยการปรากฏกายของท่านคือ การให้สัตยาบันใหม่กับท่านทุกวัน ซื่อสัตย์ต่อพันธะสัญญาและยืนหยัดคำสัญญาที่ให้ไว้กับท่านอย่างมั่นคง ดังตอนหนึ่งของบทคำขอพรอัลอะฮฺดิกล่าวว่า
اَللّهُمَّ اِنّى اُجَدِّدُ لَهُ فى صَبيحَةِ يَوْمى هذا وَما عِشْتُ مِنْ اَيّامى عَهْداً وَعَقْداً وَبَيْعَةً لَهُ فى عُنُقى لا اَحُولُ عَنْها وَلا اَزُولُ اَبَداً اَللّهُمَّ اجْعَلْنى مِنْ اَنْصارِهِ وَاَعْوانِهِ وَالذّابّينَ عَنْهُ وَالْمُسارِعينَ اِلَيْهِ فى قَضآءِ حَوآئِجِهِ وَالْمُمْتَثِلينَ لاَِوامِرِهِ وَالْمُحامينَ عَنْهُ وَالسّابِقينَ اِلى اِرادَتِهِ وَالْمُسْتَشْهَدينَ بَيْنَ يَدَيْهِ
โอ้ อัลลอฮฺ ในเช้าของวันนี้และวันที่ข้าฯ มีชีวิตอยู่ในห้วงวันทั้งหลายของข้าฯ ข้าฯ ขอให้คำมั่นสัญญา และสัตยาบัน (ที่มีต่ออิมาม) ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของข้าพระองค์ว่า ข้าฯ จะไม่ถอดถอนคำสัญญาและสัตยาบัน และข้าฯ จะรักษาให้มั่นคงต่อไป
โอ้ อัลลอฮฺ ได้โปรดดลบันดาลให้ข้าพระองค์เป็นผู้ช่วยเหลืออิมาม ผู้รับใช้อิมาม เป็นผู้ปกป้องอิมาม เป็นผู้รีบเร่งไปยังอิมามเพื่อกระทำสิ่งที่เป็นความปรารถนาของท่าน เป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน เป็นผู้สนับสนุนการมีอยู่ของท่าน เป็นผู้ล่วงหน้าไปยังการสนองเจตนารมณ์ของท่าน และเป็นผู้พลีชีวิต “ชะฮีด” ณ เบื้องหน้าท่าน[15]
ถ้าบุคคลใดอ่านคำมั่นสัญญานี้ และยืนยันต่อคำสัญญาที่มอบแก่ท่านอย่างมั่นคงไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่หวั่นไหวหรือแสดงความอ่อนแอเมื่อเผชิญกับอุปสรรคปัญหา เป็นผู้เตรียมพร้อมและสร้างบรรยากาศเพื่อการปรากฏกายของท่าน แน่นอน พระผู้เป็นเจ้าจะทรงรักษาเขาให้เป็นผู้หนึ่งที่มีความเหมาะสมในการช่วยเหลืออิมามเมื่อยามที่อิมามปรากฏกาย
อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวว่า บุคคลใดก็ตามอ่านพันธะสัญญานี้ในตอนเช้า 40 วัน เขาจะได้เป็นผู้ช่วยกออิมของเรา มาตรว่าเขาตายไปก่อนที่กออิมของเราจะปรากฏกาย พระเจ้าจะให้ฟื้นขึ้นมาจากหลุมฝังศพเพื่อช่วยเหลือกออิมของเรา
4. ความเป็นเอกภาพและเห็นอกเห็นใจ
เมื่อทราบถึงหน้าที่ของแต่ละคนในการรอคอยอิมาม (อ.) แล้ว บรรดาผู้รอคอยทั้งหลายยังต้องวางโครงการเพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอิมามผู้เป็นข้อพิสูจน์ของพระเจ้า อีกนัยหนึ่งสังคมของผู้รอคอยจำเป็นต้องเคลื่อนไหวขบวนการไปตามแนวทางที่อิมามมีความพึงพอใจ
ด้วยเหตุนี้ สังคมของผู้รอคอยจำเป็นต้องซื่อสัตย์ในคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับอิมาม และปฏิบัติสิ่งนั้นให้บรรลุเป้าหมายเพื่อเตรียมความพร้อมในการปรากฏกาย และการจัดตั้งรัฐบาลโลกของอิมาม
อิมามมะฮฺดียฺ (อ.) แจ้งข่าวแก่ประชาชาติผู้รอคอยท่านไว้ดังนี้ว่า มาตรว่าบรรดาชีอะฮฺของเรา (พระเจ้าทรงช่วยเหลือพวกเขาในการเชื่อฟังปฏิบัติตามพระองค์) เป็นผู้รักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้อย่างมั่นคงมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน แน่นอน ความกรุณาในการพบจะไม่ถูกทำให้ล่าช้าสำหรับพวกเขา ซึ่งเป็นการเร่งเร้าการปรากฏกายของเราให้เร็วขึ้น บนความผาสุกในการพบเราด้วยการรู้จักที่สมบูรณ์และถูกต้องสำหรับพวกเขา[16]
พันธสัญญาคือสิ่งที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของพระเจ้า และคำสอนของตัวแทนของพระองค์ ซึ่งจะขอกล่าวเฉพาะสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุด ดังนี้
1. ต้องพยายามฝึกฝนการเป็นผู้ปฏิบัติตามบรรดาอิมาม และเป็นมิตรกับผู้ที่เป็นมิตรกับอิมาม เป็นศัตรูและออกห่างจากบรรดาผู้ที่เป็นศัตรูกับอิมาม
อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) รายงานจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ว่า ขอแสดงความยินดีสำหรับผู้ที่ได้สัมผัสกออิมแห่งครอบครัวของเรา ขณะที่เขาเชื่อฟังปฏิบัติตามกออิมก่อนที่จะปรากฏกาย และเชื่อฟังปฏิบัติตามอิมามก่อนหน้านั้น อีกทั้งพวกเขาประกาศตนเป็นศัตรูและออกห่างจากศัตรูของบรรดาอิมาม พวกเขาคือมวลมิตรและเป็นพรรคพวกของฉัน ณ ฉันแล้วพวกเขาเป็นประชาชาติที่มีเกียรติที่สุดในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ[17]
2. ประชาชาติผู้รอคอย ต้องแบ่งแยกความแตกต่างเื่มื่อเผชิญหน้ากับสิ่งอุตริที่เกิดขึ้นใหม่ การหันเหออกจากความจริงของศาสนา และความชั่วร้ายที่ปรากฏอยู่ในสังคม และต้องแสดงความรังเกียจเมือเผชิญกับการลืมเลือนแบบฉบับต่างอันดีงาม คุณค่าอันสูงส่งของจริยธรรม ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า
แน่นอน ประชาชาติในยุคสุดท้ายจะมีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งรางวัลของพวกเขาเหมือนกับรางวัลของมุสลิมในยุคแรกของอิสลาม พวกเขาทำการเชิญชวนประชาชาติไปสูความดีงาม และห้ามปรามความชั่วร้ายทั้งหลาย อีกทั้งต่อสู้กับความชั่วบนหน้าแผ่นดิน[18]
3. ประชาชาติติผู้รอคอย ต้องบันทึกไว้ในโครงการของตนว่า เมื่อยามเผชิญหน้ากับผู้อื่นเขามีหน้าที่ให้การช่วยเหลือและให้ความร่วมมือ เขาต้องพยายามช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังคมให้รอดพ้นจากความยากจน ความทุกข์ยาก และความเดือดร้อนต่าง ๆ เขาจะต้องไม่เป็นผู้ตกข่าวสังคม
ชีอะฮฺกลุ่มหนึ่งเรียกร้องให้อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) อบรมพวกเขา อิมาม กล่าวว่า ผู้ที่เข็มแข็งที่สุดในหมู่พวกเจ้า จำเป็นต้องให้การช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า ผู้ที่ไม่มีความเดือดร้อนต้องให้ความช่วยเหลือและเมตตาต่อผู้ที่มีความเดือดร้อน และทุกคนในหมู่พวกเจ้าต้องให้ความสนใจกันและกัน[19]
กล่าวว่าขอบเขตของการช่วยเหลือเกื้อกูลมิได้มีความจำกัดอยู่แค่สังคมที่ตนอาศัยอยู่ ซึ่งความดีงามของผู้รอคอยสามารถหลั่งไหลไปสู่สังคมที่มีความต้องการและผู้ที่มีความเดือดร้อนได้ทุกที่ เนื่องจากภายในจิตวิญญาณของผู้ที่รอคอยไม่มีความแตกต่างกัน พวกเขาต้องไม่แบ่งแยกชั้นวรรณะหรือแบ่งแยกสีผิวกัน
4. บุคคลที่เป็นสมาชิกอยู่ในสังคมของผู้รอคอย พวกเขาต้องเพิ่มสีสันและกลิ่นไอของมะฮฺีดะวีย์ในสังคมให้มากยิ่งขึ้น ชื่อเสียงและเกียรติคุณของอิมามต้องถูกกล่าวขานอยู่ในสังคมเสมอ คำพูดและวิสัยทัศน์ของอิมามต้องเป็นเสมือนบทนำ หรือเป็นแบบอย่างทุกคำกล่าวขานของเรา ผู้รอคอยต้องขวนขวายและพยายามอย่างที่สุดในการเร่งรัดพัฒนาตนไปสู่การเป็นพลพรรคที่แท้จริงของอิมาม และต้องไม่สงสัยสิ่งเหล่านั้น แน่นอน เมื่อปฏิบัติได้ดังนี้เขาย่อมได้รับความเมตตา และความการุณย์พิเศษจากพระเจ้า
อับดุลฮะมีด วาซิฏีย์ เป็นสาวกคนสนิทของท่านอิมามมุฮัมมมัดบากิร (อ.) กล่าวกับอิมามว่า
เราได้อุทิศทั้งหมดในชีวิต เพื่อแนวทางแห่งการรอคอยอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) จนเป็นสาเหตุให้บางคนในหมู่พวกเราเดือดร้อนและประสบกับปัญหา
อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) กล่าวว่า โอ้อับดุลฮะมีดเอ๋ย เจ้าคิดหรือว่าพระเจ้าจะทรงปล่อยให้บ่าวของพระองค์ที่อุทิศทรัพย์สินเพื่อพระองค์ต้องหกระเหเร่รอน แน่นอน ขอสาบานด้วยพระนามแห่งพระเจ้าพระองค์จะทรงช่วยเหลือเขา ขอพระองค์ทรงเมตตาบ่าวผู้ฟื้นฟูคำสั่ง (วิลายะฮฺ) ของเรา[20]
คำกล่าวสุดท้ายคือ สังคมของผู้รอคอยต้องพยายามพัฒนาตนเองเพื่อเป็นแบบอย่างกับสิ่งอื่น และต้องพยายามสร้างบรรยากาศที่จำเป็น เพื่อเตรียมรับการปรากฏกายของอิมามในฐานะของผู้ปลดปล่อยโลก
5. ผลของการรอคอย
บางคนคิดว่าการรอคอยผู้ปลดปล่อยโลก เป็นสาเหตุทำให้ประชาชนเพิกเฉยต่อหน้าที่การงาน และไม่ให้ความแตกต่างพวกเขาจะรอคอบจนกว่าผู้ปรับปรุงโลกจะยืนหยัดขึ้น และขจัดความเลวร้ายให้หมดไปจากโลก พวกเขาจะไม่แสดงอากัปกิริยาต่อต้านความชั่วร้าย ทว่าพวกเขาจะนิ่งเงียบ ไม่แสดงท่าทีใด ๆ นอกจากยืนประสานมือดูความเลวร้ายทีเกิดขึ้น
การพิจารณาเช่นนี้เป็นการพิจารณาแบบผิวเผินปราศจากการใคร่ครวญที่ท่องแท้ เนื่องจากเมื่อพิจารณาถึงแก่นแท้ของการรอคอยอิมามแล้วจะเห็นว่า สิ่งนั้นอธิบายถึงความพิเศษและวิสัยทัศน์ของการรอคอย และความพิเศษต่าง ๆ ของผู้ที่รอคอย ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่าจิตวิญญาณของการรอคอย ที่ได้ผนวกเข้ากับความพิเศษที่เฉพาะเจาะจงสำหรับผู้รอคอย มีฐานะภาพสูงส่ง ณ อิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ซึ่งสิ่งนี้นอกจากจะไม่ทำให้พวกเขาเพิกเฉยแล้ว ยังเป็นพลังขับเคลื่อนที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาอีกต่างหาก
การรอคอย สำหรับผู้ที่รอคอยการปรากฏกายอันจำเริญ ย่อมมีการเคลื่อนไหวและมีเป้าหมายที่ดีงาม และยิ่งผู้รอคอยเข้าใกล้แก่นแท้ของการรอคอยมากเท่าใด การเคลื่อนไหวไปสู่เป้าหมายก็จะทวีความเร็วมากขึ้นเท่านั้น เมื่ออยู่ระหว่างการรอคอยมนุษย์จะทิ้งอัตราตัวตนและจะถือว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอิสลาม ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงพยายามปรับปรุงสังคมเท่าที่ตนมีความสามารถ เมื่อสังคมถูกสร้างด้วยเจตนารมณ์ที่พรั่งพร้อมด้วยวิทยปัญญา แน่นอน สังคมนั้นย่อมเติบโตไปในทิศทางที่มีความเจริญก้าวหน้า และผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมก็จะดำเนินชีวิตไปเพื่อการยืนหยัดความดีงาม เป็นสังคมแห่งการสร้างสรรค์และเปลี่ยนแปลง สร้างความสุข ให้ความหวัง และมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างดีภายในสังคม เป็นการสร้างบรรยากาศความเชื่อด้านศาสนา และมะฮฺดียฺให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น บรรดาผู้รอคอย ด้วยความสิริมงคลแห่งการรอคอยอิมามแม้ว่าพวกเขาไม่สามารถแก้ไขความชั่วร้ายได้ แต่อย่างน้อยที่สุดวิสัยทัศน์ความเชื่อเรื่องศาสนาของพวกเขาก็ได้รับการปกป้อง มีความอดทนอดกลั้นเมือเผชิญกับภยันตรายและภัยพิบัติต่าง ๆ มีความหวังว่าพันธะสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าต้องเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน พวกเขาจึงซื้อการทดสอบด้วยชีวิตและไม่ยอมแสดงความอ่อนแอหรือสิ้นหวังแม้เพียงเล็กน้อย
ยังจะมีแนวทางใดอีกหรือที่ได้วางรากฐานความเชื่อและการปฏิบัติให้กับศาสนิกของตนชัดเจนไปกว่าศาสนาอิสลาม เป็นแนวทางที่มีจุดหมายปลายทางเพื่อพระเจ้าซึ่งบั้นปลายสุดท้ายพระองค์จะทรงประทานรางวัลแก่พวกเขาเป็นการตอบแทน
[1] บิฮารุลอันวาร เล่มที่ 52 หน้าที่ 122
[2] ฆอบบัต นุอฺมานีย์ หมวดที่ 11 ฮะดีซที่ 16 หน้าที่ 207
[3] อ้างแล้ว หมวดที่ 13 ฮะดีซที่ 46 หน้าที่ 252
[4] กะมาลุดดดีน เล่มที่ 1 ฮะดีซที่ 15 หน้าที่ 602
[5] ฆอยบะฮฺ นุอ์มานี หมวดที่ 11 ฮะดีซที่ 16 หน้าที่ 200
[6] อัล-กุรอาน บทอัลบะเกาะเราฮฺ โองการที่ 138
[7] กะมาลุดดีน เล่มที่ 2 หบวดที่ 43 ฮะดีซที่ 12 หน้าที่ 171
[8] อุซูลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หมวดที่ 84 ฮะดีซที่ 5 หน้าที่ 433
[9] ฆอยบะอฺ นุอฺมานีย์ หมวดที่ 10 ภาคที่ 3 ฮะดีซที่ 6 หน้าที่ 170
[10] กะมาลุดดีน เล่มที่ 1 หมวดที่ 25 ฮะดีซที่ 2 หน้าที่ 535
[11] บิอารุลอันวาร เล่มที่ 53 หน้าที่ 177
[12] ฆอยบะฮฺ นุอฺมานีย์ หมวดที่ 11 ฮะดีซที่ 16 หน้าที่ 207
[13] กะมาลุดดีน เล่มที่ ๒ หมวดที่ ๔๕ ฮะดีซที่ ๔ หน้าที่ ๒๓๗
[14] มะฟาตีฮุลญันนาน ดุอาอ์นุดบะฮฺ
[15] ดุอาอ์ อัลอะฮฺดิ
[16] อัลอิฮฺติยจญ์ เล่มที่ 2 ลำดับที่ 360 หน้าที่ 6000
[17] กะมาลุดดีน เล่มที่ 1 หมวดที่ 25 ฮะดีซที่ 2 หน้าที่ 535
[18] ดะลาอิลนะบูวัต เล่มที่ 6 หน้าที่ 513
[19] บิฮารุลอันวาร เล่มที่ 52 หมวดที่ 22 ฮะดีซที่ 5 หน้าที่ 123
[20] อ้างแล้ว เล่มที่ 16 หน้าที่ 126