') //-->
นับเป็นเวลาหลายร้อยปีที่ประชาชนมิได้รับความเมตตา จากการปรากฏกายของอิมามแห่งยุคสมัย และไม่ได้รับประโยชน์จากการสัมผัสโดยตรงกับอิมาม ถามว่าการที่มีอิมามแต่อยู่ในสภาพของการเร้นกาย หรือต้องใช้ชีวิตหลบ ๆ ซ่อน ๆ ซึ่งประชาชนไม่สามารถพบอิมามได้จะมีผลหรือมีประโยชน์อันใดกับสังคมและโลก ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือถ้าพระเจ้าจะให้อิมามประสูติใกล้ ๆ วันเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดให้ปรากฏกาย ซึ่งท่านจะได้ไม่ต้องทนดูความลำบากตรากตรำของบรรดาชีอะฮฺ
คำถามทำนองนี้มีมากมาย ตามความเป็นจริงแล้วที่มาของคำถามเกิดจากการไม่มีความรู้เกี่ยวกับอิมาม สถานะภาพที่แท้จริง และการเป็นข้อพิสูจน์ของพระเจ้า
ในความเป็นจริงสถานะภาพของอิมามตามสภาพของการมีอยู่จริงเป็นเช่นไร ร่องรอยของการมีอยู่ของอิมาม ขึ้นอยู่กับการปรากฏกายของอิมามหรือไม่ อิมามเป็นผู้นำประชาชนเพียงอย่างเดียวหรือรวมสิ่งอื่นด้วย
1. อิมามศูนย์รวมของการมีอยู่
ในทัศนะของชีอะฮฺและตามหลักการของศาสนาอิมามคือ สื่อที่ในการประทานความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าแก่สรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายบนโลกนี้ ในระบบการสร้างอิมามคือศูนย์รวมของการมีอยู่ของทุกสรรพสิ่ง กล่าวคือถ้าไม่มีอิมามสรรพสิ่งทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ ญิน บรรดาเทพที่เป็นบ่าวรับใช้พระเจ้า สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งหลายจะไม่ถูกสร้างขึ้นมาเด็ดขาด
มีผู้ถามอิมามญะอฺฟัรอัซซอดิก (อ.) ว่า ถ้าโลกปราศจากอิมามจะดำรงต่อไปหรือไม่ อิมาม ตอบว่า ถ้าโลกปราศจากอิมามทุกสรรพสิ่งจะพังพินาศย่อยยับหมด[1]
เนื่องจาก อิมามคือผู้นำสาสน์นของพระเจ้ามาอธิบายแก่ประชาชน และชี้นำพวกเขาไปสู่ความสมบูรณ์ ความเมตตาที่พระองค์ทรงหลั่งไหลให้มวลสรรพสิ่งทั้งหลายเนื่องจากการมีอยู่ของอิมาม ซึ่งสิ่งนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนยิ่ง เนื่องจากอันดับแรกพระเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่การชี้นำมนุษย์แก่บรรดาศาสดาของพระองค์ หลังจากนั้นทรงมอบหน้าที่นี้แก่บรรดาอิมามผู้เป็นตัวแทนของศาสดา อิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การมีอยู่ของอิมามบนพื้นพิภพที่กว้างไกลนี้ เพื่อเป็นสื่อในการประทานความเมตตาแก่มวลสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกไม่ว่าสิ่งนั้นจะใหญ่หรือเล็กก็ตาม หรืออีกนัยหนึ่งสามารถกล่าวได้ว่า มวลสรรพสิ่งทั้งหลายต่างได้รับความเมตตาปรานีจากพระเจ้า โดยผ่านบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วการมีอยู่ของสรรพสิ่ง เนื่องจากการมีอยู่ของอิมาม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าถ้าหากไม่มีอิมามสรรพสิ่งทั้งหลายก็จะไม่ถูกสร้างขึ้นมาแน่นอน
คำพูดตอนหนึ่งจากซิยาเราะฮฺญามิอะฮฺกะบีร (การรู้จักอิมาม) กล่าวว่า
بِكُمْ فَتحَ اللَّهُ وَ بِكُمْ يَخْتِمْ وَ بِكُمْ يُنَزِّلُ الْغَيْثَ وَ بِكُمْ يُمْسِكُ السَّمَاءَ اَنْ تَقَعَ عَلَي الاَ رْضِ اِلّاَ بِاِذْنِهِ
โอ้ อิมามผู้ทรงเกียรติ เนื่องจากพวกท่าน อัลลอฮฺทรง (สร้างโลก) ขึ้นมา และเนื่องจากพวกท่าน พระองค์ทรง (ให้โลก) สิ้นสุด และเนื่องจากพวกท่าน พระองค์ทรงหลั่งน้ำฝนลงมา และเนื่องจากพวกท่าน พระองค์ทรงรักษาแผ่นฟ้าไว้ไม่ให้หล่นทลายลงมาทับพื้นดิน เว้นเสียแต่ว่าเป็นความประสงค์ของพระองค์
ด้วยเหตุนี้ ผลของการมีอิมามมิได้ขึ้นอยู่กับว่าอิมามต้องปรากฏกายออกมาท่ามกลางสังคม แต่การมีอยู่ของอิมามบนโลกนี้แม้ว่าจะอยู่ในสภาพของการเร้นกาย ก็ถือว่าเป็นแหล่งที่ให้ชีวิตชีวาความจำเริญ และนำมาซึ่งความโปรดปรานแก่ปวงบ่าวและสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายบนโลกนี้ พระเจ้าทรงประสงค์ให้สิ่งถูกสร้างที่ดีและสมบูรณ์ที่สุดของพระองค์ เป็นสื่อในการรับและถ่ายทอดความเมตตาและสิ่งที่พระองค์ประทานลงมาแก่มวลสรรพสิ่งถูกสร้างอื่น การกระทำเช่นนี้ไม่แตกต่างกันว่าอิมามจะอยู่ท่ามกลางสังคม หรือว่าอยู่ในสภาพของการเร้นกาย แน่นอน ทุกสรรพสิ่งได้รับประโยชน์จากการมีอยู่ของอิมาม ฉะนั้น การเร้นกายของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ในที่นี้จึงไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นช่องว่าง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีผู้ถามอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ถึงการได้รับประโยชน์ในช่วงการเร้นกายของท่าน อิมามตอบว่า
وَاَمَّا وَجهُ الانْتِفَاعَ بي في غَيْبَتي فكاالانتفاعِ بِالشِّمس اذا غَيَّبَتْها عنِ الاَ بْصَارِ السِّحاب
ส่วนการรับประโยชน์จากฉันในช่วงที่ฉันเร้นกาย เหมือนการได้รับประโยชน์จากพระอาทิตย์ ยามที่เฆมได้ปกคลุมให้เลือนหายไปจากสายตา[2]
การเปรียบเทียบอิมามเหมือนกับแสงพระอาทิตย์ และเปรียบเทียบการเร้นกายของท่านเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ถูกเมฆปกคลุมชี้ให้เห็นถึงประเด็นต่าง ๆ มากมาย เช่น
ระบบสุริยะจักรวาลมีพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลางในการโคจร มีดาวต่าง ๆ และโลกเป็นบริวาร คล้ายกับการมีอยู่ของอิมามแห่งยุค ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของการมีอยู่ของสรรพสิ่งทั้งหลาย ดังคำขอพรที่พรรณนาไว้ในดุอาอ์ อดีละฮฺว่า
بِبَقَائِهِ بَقِيَتِ الدُّنْيا وَ بِيُمْنِهِ رُزِقَ الْوَرَى وَبِوُجُودِهِ ثَبَتَتِ الْاَرْضُ وَ السَّمَاء
เนื่องจากการเหลืออยู่ของท่านโลกจึงดำรงอยู่ ด้วยบะเราะกัตของท่านโลกจึงได้รับปัจจัยยังชีพ และด้วยการมีอยู่ของท่านแผ่นดินและท้องจึงมั่นคงอยู่[3]
แสงพระอาทิตย์จะไม่มีวันดับหรือเลือนหายไปจากขอบฟ้า ทุกสรรพสิ่งต่างได้รับประโยชน์จากแสงพระอาทิตย์เท่าที่สิ่งนั้นสัมพันธ์ติดต่อกับพระอาทิตย์ ดังกล่าวไปแล้วว่าการมีอยู่ของอิมามแห่งยุคคือสื่อในการประทานความโปรดปราน ทั้งด้านวัตถุปัจจัยและจริยธรรมจากพระผู้อภิบาลแก่ปวงบ่าวทั้งหลาย ซึ่งทุกคนจะได้รับความโปรดปรานเท่ากับความสัมพันธ์ที่ตนมีกับอิมาม
มาตรว่าแสงตะวันไม่ได้อยู่หลังก้อนเมฆความหนาวเย็น ความร้อน และความมืดมิดจะทำให้โลกไม่สามารถเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่อไปได้ ทำนองเดียวกัน ถ้าโลกมีอิมามแต่อยู่ในสภาพการเ้ร้นกายทำให้สรรพสิ่งทั้งหลายต่างถูกกีดกันผลประโยชน์จากอิมาม ดังนั้น ความยากลำบาก ความไม่พอดี การทดสอบต่าง ๆ และการดำเนินชีวิตต่อไปไม่อาจเป็นไปได้แน่นอน
อิมามมะฮฺดียฺ (อ.) เขียนจดหมายถึงชัยค์มุฟีดโดยกล่าวถึงชีอะฮฺของท่านฉบับหนึ่ง มีใจความว่า เราไม่เคยปล่อยให้พวกเจ้าอยู่ตามลำพังอย่างโดดเดี่ยว ไม่เคยลืมเลือนพวกเจ้า มาตรว่าไม่มีความเมตตาจากเรา ความยากลำบาก การทดสอบ และโทษทัณฑ์ต่าง ๆ คงกระหน่ำสู่พวกเจ้าจนไม่อาจอดทนได้ และบรรดาศัตรูคงทำลายพวกเจ้าจนหมดสิ้นแล้ว[4]
ด้วยเหตุนี้ แสงพระอาทิตย์และรัศมีแห่งการมีอยู่ของอิมามได้ทอแสงปกคลุมโลก ทำให้มวลสรรพสิ่งทั้งหลายต่างได้รับความเมตตากันอย่างถ้วนหน้า สำหรับมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมอิสลาม ประชาชาติชีอะฮฺ และการเชื่อมั่นมั่นในอิมามทำให้ได้รับความดีงามและความจำเริญต่าง ๆ มากมาย เช่น
2. ความหวัง
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในชีวิตมนุษย์คือการมีความหวัง ความหวังเป็นเสมือนจุดกำเนิดแห่งชีวิตให้ความแจ่มใจและความเบิกบาน ความหวังเป็นพลังที่คอยขับเคลื่อนให้ชีวิตดำเนินไปข้างหน้าอย่างมีจุดหมาย การมีอิมามอยู่บนโลกนี้ทำให้ความหวังในอนาคตของมนุษย์ชัดเจนยิ่งขึ้น บรรดาชีอะฮฺตลอดหน้าประวัติศาสตร์ 1400 กว่าปีที่ผ่านมาต่างได้รับการทดสอบ ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคปัญหา ความยากลำบากนานัปการ และการกดขี่ทารุณจากบรรดาผู้โอหังบนหน้าแผ่นดิน ซึ่งสิ่งเดียวที่เป็นพลังและเป็นความหวังให้พวกเขายืนหยัดต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยว โดยไม่ยอมจำนนต่ออำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งพยายามขับเคลื่อนขบวนการไปข้างหน้าอย่างไม่มีวันหยุดยั้งคือ ความหวังในอนาคตอันสดใสที่มีต่ออิมามมะฮฺดียฺ (อ.) มิใช่อนาคตที่เกิดจากการจินตนาการ เป็นอนาคตอันใกล้และสามารถใกล้กว่านั้น ถ้าหากผู้นำแบกรับภาระการยืนหยัด และผู้เชื่อฟังปฏิบัติตามมีการเตรียมพร้อมตนเองตลอดเวลา
3. ความมั่นคงของศาสนา
สังคมทุกแห่งถ้าต้องการรักษาสังคมของตนให้ดำเนินต่อไป จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางตามที่กำหนดไว้จำเป็นต้องมีผู้นำที่ชาญฉลาด เข็มแข็ง และรอบรู้ เพื่อจะได้ชี้นำสังคมของตนไปสู่เป้าหมายได้อย่างถูกต้อง การมีผู้นำถือว่าเป็นการสร้างความมั่นคงแก่ประชาชาติ และเป็นการสร้างระบบเพื่อรักษาข้อพิสูจน์และหลักฐานต่าง ๆ ในอดีตที่ผ่านมา อีกด้านหนึ่งเป็นการสนับสนุนโครงการทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผู้นำที่มีชีวิต ขยันขันแข็ง และมีความอุตสาหะสูง แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในสังคมเขาก็จะไม่ละเลยสังคมให้ดำเนินต่อไปอย่างไม่มีระบบ หรือออกนอกแนวทางที่กำหนดไว้ เขาจะกระทำทุกวิถีทางเพื่อเตือนสังคมให้ระวังการเบี่ยงเบนออกนอกแนวทาง อันเป็นเป้าหมายสูงสุดที่จะต้องดำเนินไปสู่
อิมามแห่งยุค (อ.) แม้ว่าจะอยู่ในสภาพการเร้น แต่ถือว่าท่านเป็นปัจจัยสำคัญต่อการปกป้องรักษาแนวทางชีอะฮฺ ท่านรอบรู้แผนการของศัตรูและใช้ยุทธวิธีต่าง ๆ ปกป้องแนวความคิดของชีอะฮฺ แม้ว่าศัตรูจะมีแผนการ หรือใช้สื่อและเล่ห์กลต่าง ๆ เพื่อทำลายแนวความเชื่อและหลักการของชีอะฮฺ ท่านจะชี้นำบรรดานักปราชญ์และผู้รู้ของชีอะฮฺให้รู้เท่าทันแผนการและปิดกั้นแนวทางเหล่านั้น
ณ ที่นี้จะขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่อิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ได้ปกป้องบรรดาชีอะฮฺในบะฮฺเรนให้รอดพ้นจากแผนการของศัตรู จากคำบอกเล่าของอัลลามะฮฺมัจลิซซีย์
ในอดีตที่ผ่านมา ผู้ที่ด่าทอบรรดาอิมามมีอำนาจทางการเมือง และได้เป็นรัฐมนตรีบริหารประเทศบะฮฺเรน เขาตั้งตนเป็นศัตรูกับชีอะฮฺอย่างรุนแรง วันหนึ่งรัฐมนตรีความมั่นคงคนดังกล่าวได้เข้าพบผู้ปกครอง และมอบทับทิมที่สลักคำว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ มุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์ อบูบักร์ อุมัร อุสมาน และอะลี เป็นเคาะลีฟะฮฺของศาสนทูตแก่เขา ประหนึ่งว่าคำเหล่านี้ถูกสลักขึ้นเองตามธรรมชาติ สร้างความประหลาดใจแก่ผู้ปกครองอย่างยิ่ง รัฐมนตรีกล่าวว่านี้เป็นเหตุผลที่แข็งแรงที่สุดที่ยืนยันว่าแนวทางชีอะฮฺไม่ถูกต้อง หลังจากนั้นเขาได้ถามรัฐมนตรีของเขาว่าเจ้าคิดอย่างไรกับบรรดาชีอะฮฺที่อยู่ในบะฮฺเรน รัฐมนตรีตอบว่า ฉันคิดว่าควรเรียกพวกชีอะฮฺเข้าพบ และเอาทับทิมให้พวกเขาดู ถ้าพวกเขายอมรับเท่ากับว่าพวกเขาได้หันเหออกจากแนวทางชีอะฮฺ ถ้าไม่ยอมรับเราจะให้พวกเขาเลือก 3 ประการ ดังนี้คือ
หาเหตุผลและคำตอบที่ชัดเจนให้เรา
จ่ายญะซียะฮฺ หมายถึง เงินที่บุคคลมิได้เป็นมุสลิมอาศัยอยู่ในประเทศมุสลิมต้องจ่ายให้กับรัฐบาล เพื่อแลกกับความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
จับผู้ชายของพวกเขาสังหารจับภรรยา เด็ก และสตรีเป็นเชลยพร้อมกับยึดทรัพย์สิน
ผู้ปกครองเห็นด้วยกับความคิดของรัฐมนตรีความมั่นคง วันหนึ่งเขาจึงเรียกบรรดาชีอิฮฺเข้าพบ และส่งลูกทับทิมที่มีรอยสลักให้ดูพร้อมกับกล่าวว่า ถ้าพวกเจ้าไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนเพียงพอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันจะสังหารพวกเจ้า และจับสตรีและเด็ก ๆ ของพวกเจ้าเป็นเชลย หรือไม่พวกเจ้าก็ต้องจ่ายญะซียะฮฺ ให้รัฐบาล บรรดานักปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺขอเวลา 3 วัน พวกเขาได้ปรึกษาหารือกันอยู่นานหลังจากนั้นจึงเลือกผู้ที่มีความดีและมีความสำรวมตนที่สุดขึ้นมา 10 คน และเลือกอีก 3 คนจาก 10 คนนั้น พร้อมกับกำชับหนึ่งในสามคนวาคืนนี้เจ้าจงออกไปยังท้องทะเลทราย และขอความช่วยเหลือจากอิมามซะมาน (อ.) เพื่อให้รอดพ้นแผนการร้ายของศัตรู เนื่องจากท่านเป็นอิมามแห่งยุคของเรา
ชายผู้นั้นได้กระทำตามแต่คืนแรกไม่ประสบความสำเร็จในการพบกับอิมามซะมาน (อ.) คืนที่สองจึงส่งไปอีกคนหนึ่งแต่ไม่ประสบความสำเร็จเช่นเดิม คืนสุดท้ายจึงส่งอีกคนที่ชื่อว่ามุฮัมมัด บุตรของอีซาออกไป เขาได้ตะวัซซุล ร้องไห้ และรำพรรณถึงปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ตรงหน้ากับอิมามซะมาน พร้อมกับขอความช่วยเหลือจากท่าน ซึ่งคืนนี้เป็นโอกาสสุดท้ายแห่งชะตากรรมของบรรดาชีอะฮฺ ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงร้องเรียกว่า โอ้ มุฮัมมัด ทำไมฉันจึงเห็นเจ้าในสภาพเช่นนี้เล่า ทำไมเจ้าจึงออกมากลางทะเลทรายในยามค่ำคืนเช่นนี้ มุฮัมมัด บุตรของอีซา ได้ขอร้องให้เขาปล่อยให้ตนอยู่ตามลำพัง ชายผู้นั้นกล่าวว่า โอ้ มุฮัมมัด บุตรของอีซา ฉันคือซอฮิบุซซะมาน เจ้าจงบอกสิ่งที่เจ้าต้องการมาเถิด มุฮัมมัด บุตรของอีซากล่าวว่า ถ้าท่านเป็นอิมามซะมานจริงท่านก็ต้องทราบความเดือดร้อนของเราซิ ไม่จำเป็นต้องให้ฉันบอกหรอก ชายผู้นั้นกล่าวว่า ใช่ เจ้าพูดถูกต้องแล้ว เจ้ากำลังเดือดร้อนเรื่องที่ผู้ปกครองกลั่นแกล้งเจ้า ๆ จึงมาที่นี่ใช่หรือไม่ ตอบว่า ใช่ ท่านทราบดีอยู่แล้วถึงความเดือดร้อนของพวกเรา ท่านจำเป็นต้องช่วยเหลือพวกเรา หลังจากนั้น
อิมามมะฮฺดียฺ (อ.) กล่าวว่า โอ้ มุฮัมมัด ในบ้านของรัฐมนตรีใจบาปคนนั้น (ขอพระเจ้าทรงสาปแช่งเขา) มีต้นทับทิมอยู่ เมื่อทับทิมออกผลเขาเอาดินเหนียวปั้นเป็นบล็อกผลทับทิมและสลักประโยคดังกล่าว หลังจากนั้นได้นำไปติดไว้ที่ผลทับทิม เมื่อทับทิมโตตามบล็อกดังกล่าวจึงปรากฏประโยคตามเขาสลักไว้ก่อนหน้านี้ ฉะนั้น พรุ่งนี้เมื่อพวกเจ้าไปพบผู้ปกครอง จงบอกกับเขาว่าคำตอบของเราอยู่ที่บ้านของรัฐมนตรี เมื่อเจ้าไปที่บ้านของรัฐมนตรีจงเข้าไปในห้องหนึ่งจะพบถุงสีขาวภายในถุงจะมีบล็อกที่สลักประโยคดังกล่าวไว้ และจงนำสิ่งนั้นมาให้ผู้ปกครองดู และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่แอบแฝงอยู่ ดังนั้น เจ้าจงบอกผู้ปกครองไปให้ผ่าทับทิมออก ซึ่งภายในนั้นไม่มีสิ่งใดนอกจากดิน
มุฮัมมัด บุตรของอีซา ดีใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาได้กลับมาหาบรรดาชีอะฮฺ วันรุ่งขึ้นพวกเขาจึงไปหาผู้ปกครอง รายงานและกระทำทุกอย่างตามที่อิมามได้แนะนำพวกเขา
ผู้ปกครองบะฮฺเรน เมื่อเห็นความมหัศจรรย์ดังกล่าวเขาจึงยอมรับเนวทางชีอะฮฺ และสั่งประหารชีวิตรัฐมนตรีคนดังกล่าว[5]
4. การขัดเกลาตนเอง
อัล-กุรอานกล่าวว่า
وَقُلِ اعْمَلُواْ فَسَيَرَى اللّهُ عَمَلَكُمْ وَرَسُولُهُ وَالْمُؤْمِنُونَ
จงกล่าวเถิดว่า พวกท่านจงปฏิบัตเถิดอัลลอฮฺ ศาสนทูตของพระองค์ และมุอฺมินมองดูการงานของพวกท่าน[6]
รายงานกล่าวว่าจุดประสงค์ของมุอฺมินูนในโองการหมายถึง อิมามมะอฺซูม (อ.)[7] ด้วยเหตุนี้ อิมามมะฮฺดียฺ (อ.) มองเห็นการกระทำของปวงบ่าวเสมอ หมายถึงว่าแม้อิมามจะอยู่ในสภาพของการเร้นกาย แต่มองเห็นและเฝ้าดูการงานของปวงบ่าวตลอดเวลา ซึ่งสิ่งนี้มีผลต่อการอบรมสั่งสอนอย่างยิ่ง เท่ากับเป็นการช่วยให้บรรดาชีอะฮฺรีบปรับปรุงและแก้ใขการงานของตนตลอดเวลา การงานที่อยู่ท่ามกลางสายตาของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) เป็นเหตุให้ปวงบ่าวละอายที่จะกระทำความผิด หรือกระทำสิ่งที่น่าเกลียดขัดต่อพระบัญชาของพระเจ้า เป็นพลังที่คอยผลักใสใ้ห้ออกห่างจากความผิด ดังนั้น เมื่อมนุษย์มุ่งมั่นจิตใจของตนไปสู่แหล่งที่มีความสะอาดและสงบมากเท่าใด จิตใจของเขาก็จะสงบมากเท่านั้น สิ่งนี้เป็นธรรมชาติขั้นพื้นฐานของมนุษย์โดยทั่วไป เพราะถ้ามนุษย์หักห้ามจิตใจออกจากอบายมุข ความสงบและความสุขถาวรก็จะเข้ามาแทนที่
5. ที่อิงอาศัยแห่งวิชาการและความคิด
ตามความจริงสถานภาพที่แท้จริงของบรรดาผู้นำผู้บริสุทธิ์ (อ.) คือผู้บริหารสังคม ปวงบ่าวทั้งหลายต่างได้รับประโยชน์จากแหล่งวิชาการอันมีค่ามหาศาลตลอดเรื่อยมา แม้ว่าอิมามจะอยู่ในสภาพของการเร้นกายและมนุษย์เข้าไปไม่ถึงอิมาม หรือไม่อาจได้รับประโยชน์ในทุกแง่ทุกมุมจากอิมามได้ก็ตาม แต่วิชาการของอิมามก็สามารถแก้ไขปัญหาด้านวิชาการและความคิดของบรรดาชีอะฮฺได้เสมอ ในช่วงของการเร้นกายระยะสั้นนั้นอิมามได้ตอบคำถามต่าง ๆ มากมายทั้งจากประชาชนทั่วไป และบรรดานักปราชญ์ในยุคนั้น ซึ่งอิมามได้ตอบเป็นลายลักษณ์อักษรดังที่ทราบกันดี[8] ดังตัวอย่างต่อไปนี้
อิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ตอบจดหมายอิซฮาก บุตรของยะอฺกูบ มีใจความว่า ขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงชี้นำทางเจ้า ทรงเพิ่มความมั่นคงแก่เท้าทั้งสองของเจ้า คำถามที่เจ้าถามถึงผู้ปฏิเสธครอบครัวของเรา และถามถึงอาของเรา จงรู้ไว้เถิดว่าระหว่างพระเจ้าไม่มีเครือญาติใด ๆ ทั้งสิ้น และผู้ใดก็ตามปฏิเสธฉันถือว่าไม่ใช่พวกฉัน ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของพวกเขามิได้แตกต่างอันใดไปจากบรรดาบุตรของศาสดานูฮฺ (อ.) ส่วนทรัพย์สินของเจ้าตราบที่ยังไม่สะอาดเราจะไม่รับมัน
ส่วนทรัพย์สินที่เ้จ้าส่งให้เรา ๆ จะรับไว้ก็ต่อเมื่อมันสะอาดตามชัรอียฺ และบุคคลใดถือว่าทรัพย์สินของเราอนุมัติและได้รับประทานสิ่งนั้นไป ประหนึ่งเขาได้รับประทานไฟเข้าไป ... พวกเขาจะได้รับประโยชน์จากฉันได้อย่างไร มันมิได้แตกต่างไปจากการได้รับประโยชน์จากพระอาทิตย์ที่อยู่หลังก้อนเมฆ ฉันเป็นผู้นำ (อิมาม) ของประชาชนบนหน้าแผ่นดิน เสมือนหมู่ดวงดาวที่ยังความปลอดภัยแก่ประชาโลก ดังนั้น เจ้าอย่าพยายามถามคำถามที่ไม่ก่อประโยชน์อันใดแก่ตัวเจ้า เจ้าจงอย่าลำบากศึกษาสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการจากเจ้า และจงมั่นวิงวอนเพื่อให้การปรากฏกายเร็ววันขึ้น อันเป็นการปรากฏกายเพื่อสูเจ้า ขอความสันติพึงมีแด่เจ้า โอ้ อิซฮาก บุตรของยะอฺกูบ และขอความสันติพึงมีแด่ทุกคนที่เชื่อฟังปฏิบัติตามคำชี้นำ [9]
หลังจากการเร้นกายระยะสั้นผ่านพ้นไปหลาย ๆ ต่อหลายครั้งที่บรรดานักปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺ ร่วมปรึกษาหารือปัญหาเกี่ยวกับวิชาการความรู้ และแนวความคิดกับอิมาม (อ.) และพวกเขาได้รับคำตอบเหล่านั้นไป
มีร อัลลามะฮฺ ลูกศิษย์คนหนึ่งของ ท่านมุก็อดดัซ อัดบีลีย์ เล่าว่า ตอนกลางดึกของคืนหนึ่งในนะญัฟอัชรอฟ ขณะที่ฉันยืนอยู่กลางลานสถานที่ฝังศพของท่านอิมามอะลี (อ.) ทันใดนั้นฉันเห็นคน ๆ หนึ่งเดินผ่านไปทางด้านฮะรัม ฉันเดินไปหาเขา พอเข้าไปใกล้ ๆ จึงรู้ว่าเป็นชัยค์ผู้เป็นอาจารย์นามว่า มุลลา อะฮฺมัด มุก็อดดัซ อัรดะบีลีย์ ฉันจึงแอบไม่ให้ท่านเห็น
เมื่อเข้าไปใกล้ฮะรัมอิมามอะลี (อ.) ขณะที่ประตูทางเข้าปิดหมด แต่ทันใดนั้นเผอิญประตูเปิดออกอาจารย์เดินเข้าไปในฮะรัมสักครู่หนึ่ง ก็เดินออกมาและมุ่งหน้าไปยังกูฟะฮฺ ฉันเดินตามไปห่าง ๆ โดยที่อาจารย์ไม่เห็น จนกระทั้งมาถึงมัสญิดกูฟะฮฺและไ้ด้เข้าไปข้างใน อาจารย์ยืนอยู่ที่เมฮฺรอบบริเวณที่อิมามอะลี (อ.) ถูกฟันศีรษะในตอนเช้าของวันที่ 19 เดือนเราะมะฎอน ขณะซัจญ์ดะฮฺครั้งที่สองนมาซซุบฮฺ อาจารย์ยืนอยู่ที่นั่นนานพอสมควร หลังจากนั้นอาจารย์เดินออกจากมัสญิด และมุ่งหน้าไปยังนะญัฟ ฉันยังคงเดินตามอาจารย์ไปห่าง ๆ จนกระทั้งมาถึงมัสญิดอะนานะฮฺ เผอิญฉันจามออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เมื่ออาจารย์ได้ยินเสียงฉัน ท่านหันกลับมามองฉันและจำฉันได้ ท่านจึงร้องถามขึ้นว่า นั่นมีรอัลลามะฮฺ ใช่ไหม ฉันตอบว่า ใช่ กระผมเอง อาจารย์ถามว่า เธอมาทำอะไรที่นี่ ฉันตอบว่า ฉันเดินตามท่านมาตั้งแต่ท่านเข้าไปในฮะรัมของอิมามอะลี (อ.) ซึ่งฉันอยู่กับท่านตลอดเวลาจนมาถึงที่นี้ ฉันขอสาบานโดยสิทธิ์ของหลุมฝังศพนี้ว่า ขอให้ท่านบอกความลับที่เกิดกับท่านดังที่ฉันเห็นในคืนนี้แก่ฉัน
อาจารย์กล่าวว่า มีเงื่อนไขว่าตราบที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ห้ามบอกเรื่องนี้แก่ใคร เมื่อฉันตอบรับปากและให้ความมั่นใจ ท่านจึงกล่าวว่า ปัญหาบางอย่างยากสำหรับฉันมาก ฉันจึงขอผ่าน (ตะวัซซุล) กับอิมามอะลี (อ.) คืนนี้ก็เช่นเดียวกัน ฉันมีปัญหาหนักและยากมากสำหรับฉัน ขณะที่ฉันคิดอยู่เผอิญความคิดของฉันคิดถึงอิมามอะลี (อ.) ขึ้นมาทันที หัวใจจึงสั่งฉันให้มาหาอิมามและถามปัญหาจากท่าน
เมื่อฉันมาถึงฮะรัมอิมามอะลี (อ.) เธอก็เห็นว่าประตูฮะรัมปิดอยู่ แต่ทันใดนั้นมันก็เปิดออกและฉันเดินเข้าไปข้างใน ฉันร้องไห้และขอให้อิมามอะลี (อ.) ตอบคำถามฉัน ต่อมาฉันได้ยินเสียงดังจากหลุมศพของอิมามว่า เจ้าจงไปที่มัสญิดกูฟะฮฺและถามปัญหากับกออิม (อ.) เขาเป็นอิมามแห่งยุคของเจ้า ฉันจึงเข้ามาใกล้ ๆ กับช่องเมะฮฺรอบมัสญิดกูฟะฮฺ ถามปัญหาอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ท่านตอบฉัน และตอนนี้ฉันจะกลับบ้านฉัน[10]
6. การชี้นำด้านในและการมีอิทธิพลกับจิตวิญญาณ
อิมามผู้เป็นข้อพิสูจน์ของพระเจ้ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบชี้นำและเป็นผู้นำประชาชาติ และท่านพยายามที่จะชี้นำบุคคลที่มีความพร้อมในการรับคำชี้นำจากท่าน ซึ่งการชี้นำของอิมามบางครั้งเปิดเผยและเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไป อิมามติดต่อกับบางคนโดยตรงให้คำปรึกษาพร้อมทั้งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อีกทั้งชี้แนะแนวทางที่สร้างความสำเร็จสมบูรณ์อันเป็นประโยชน์แก่เขา และบางครั้งอิมามใช้อำนาจวิลายะฮฺซึ่งถือว่าเป็นพลังด้านในส่งกระแสจิตไปยังเขา เนื่องจากเป็นการให้ความสำคัญพิเศษ ดังนั้น จิตใจที่มีความพร้อม และต้องการยกระดับจิตใจตนให้สูงขึ้นรักคุณธรรมความสวยงาม อิมามจะวางรากฐานแนวทางที่พัฒนาไปสู่ความสำเร็จสมบูรณ์แก่เขา ในส่วนนี้จึงไม่มีการติดต่อโดยตรงกับอิมาม ซึ่งการชี้นำของอิมามจะถ่ายทอดจากจิตด้านในไปสู่จิตด้านในด้วยกัน อิมามอะลี (อ.) อธิบายถึงภารกิจของบรรดาอิมามไว้ดังนี้ ... โอ้พระผู้เป็นเจ้า มิได้มีสิ่งอื่นใดนอกจากพระองค์ทรงประทานตัวแทนไว้ ณ แผ่นดิน เพื่อให้พวกเขาชี้นำมวลมนุษย์ไปสู่ศาสนาเที่ยงธรรมของพระองค์ ... มาตรว่าตัวแทนของพระองค์เร้นกายหายไปจากสังคม ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าคำสอนและจริยธรรมของเขาเต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจของมวลผู้ศรัทธาทุกคน ซึ่งพวกเขาปฏิบัติตัวไปบนพื้นฐานนั้น[11]
อิมามผู้เร้นกายสร้างสมกองกำลังด้วยการชี้นำจิตวิญญาณด้านใน แก่บุคคลที่มีความเหมาะสม เพื่อการยืนหยัดและเปลี่ยนแปลงโลกไปสู่โลกแห่งจริยธรรม ดังนั้น บุคคลที่มีความเหมาะสมและมีคุณสมบัติเพียงพอพวกเขาจะได้รับการอบรมพิเศษจากอิมาม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นทหารของอิมาม ซึ่งสิ่งนี้เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของอิมามที่เร้นกาย
7. ความปลอดภัยจากการทดสอบ
ความปลอดภัยเป็นรากฐานสำคัญที่สุดสำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ การเกิดภัยธรรมชาติแม้ว่าจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของเหตุและผล แต่สิ่งนั้นก็สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและการเป็นอยู่ของมวลสรรพสิ่งทั้งหลาย บางครั้งภัยธรรมชาติกลายเป็นฆาตรกรไปโดยปริยาย การควบคุมภัยธรรมชาติไม่ให้เกิดอาจเป็นไปได้ตามกลไกลของวัตถุ แต่ปัจจัยด้านในหรือพลังด้านในก็มีอิทธิพลไม่น้อย ต่อการควบคุมไม่ให้เกิดภัยเหล่านั้น รายงานจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) กล่าวว่า การมีอยู่ของข้อพิสูจน์แห่งพระเจ้าบนหน้าแผ่นดิน เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้ความสงบปลอดภัยแก่ชาวดินทั้งหลาย
อิมามมะฮฺดียฺ (อ.) กล่าวว่า ฉันคือปัจจัยที่นำความปลอดภัย (จากการทดสอบ) มาสู่ชาวดินทั้งหลาย[12]
การมีอยู่ของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) คือเครื่องมือที่ขวางกั้นมิให้ปวงบ่าวที่ก่อกรรมชั่วต่าง ๆ บนหน้าแผ่นดิน ต้องถูกลงโทษทัณฑ์อย่างรุนแรง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าชีวิตทั้งโลกนี้และโลกหน้าสลับซับซ้อนยิ่งนัก อัล-กุรอานกล่าวว่า
وَمَا كَانَ اللّهُ لِيُعَذِّبَهُمْ وَأَنتَ فِيهِمْ
(โอ้ ศาสนทูต) และอัลลอฮฺจะไม่ทรงลงโทษพวกเขาขณะที่เจ้าอยู่กับพวกเขา[13]
อิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ในฐานะที่เป็นแหล่งที่มาของความเมตตาทั้งหลายของพระเจ้า และด้วยคุณสมบัติพิเศษที่มีอยู่ในตัวท่าน ๆ สามารถทำให้การทดสอบทั้งหนักและเบาออกห่างจากสังคมชีอะฮฺ แม้ว่าจะมีชีอะฮฺจำนวนไม่น้อยไม่ได้ใส่ใจต่อเกียรติยศและความเมตตาของท่าน หรือมิได้เคยคิดว่าท่านคือผู้ให้การช่วยเหลือเขาตลอดเวลา
อิมามมะฮฺดียฺ (อ.) แนะนำตัวเองว่า
اَنَا خَاتَمُ الْاَوْصِيَاءِ وَبِي يَدْفَعُ اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ الْبَلاَءِ مِنْ اَهْلِى وَ شِيْعًتِى
ฉันคือตัวแทนคนสุดท้ายของท่านศาสดา เนื่องจากการมีอยู่ของฉัน อัลลอฮฺผู้ทรงเกรียงไกรทรงขจัดภยันตรายต่าง ๆ ออกจากครอบครัวและชีอะฮฺของฉัน[14]
คำยืนยันความถูกต้องของคำกล่าวข้างต้นคือ การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน และการสงครามแปดปีกับอิรักและพันธมิตรจากยุโรปโดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา เป็นสิ่งพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความรักและความเมตตาของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ที่มีต่อประชาชาติอิหร่าน จึงทำให้ระบอบอิสลาม ประชาชาติมุสลิม และเหล่าผู้ศรัทธาที่เชื่อฟังปฏิบัติตามมะฮฺดียฺ (อ.) รอดพ้นภัยพิบัติจากแผนการร้ายของศัตรูได้อย่างเหลือเชื่อ การโค่นล้มการปกครองของกษัตริย์ชาห์ปาเลวีแห่งอิหร่าน เมื่อวันที่ 21 เดือนบะฮฺมัน ปี 1357 (ค.ศ. 1978) โดยการนำของท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) เหตุการณ์ฝูงบินเฮลิปค็อบเตอร์ของอเมริกาตกที่ทะเลทรายฏะบัซซีย์เนื่องจากพายุทรายที่โหมกระหน่ำอย่างเฉียบพลัน เมื่อปี 1359 (ค.ศ. 1980) และเหตุการณ์อื่น ๆ อีกมากมายเป็นสิ่งยืนยันให้เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดว่า ถ้าหากมิใช่ความเมตตาและความรักของอิมามที่มีต่อชีอะฮฺแล้ว แน่นอน ความเป็นไปได้ของสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแทบจะเรือนรางที่สุด
8. สายฝนแห่งเมตตา
การปรากฏกายของอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) เป็นเสมือนวันอีดที่ให้ความสุขสันต์แก่ประชาโลก อิมามเป็นทิศทางสำหรับมวลมุสลิมที่ต้องมุ่งมั่นไปสู่ และเป็นที่รักยิ่งสำหรับหัวใจของชีอะฮฺทุกดวง ท่านมิได้ลดละสายตาไปจากสังคมแม้แต่นิดเดียว การเร้นกายของพระอาทิตย์แห่งเมตตามิได้เป็นอุปสรรคต่อการทอแสงแห่งความสุขสดชื่น ความร่าเริงเบิกบานแก่หัวใจของมวลผู้ศรัทธาแม้แต่น้อย ท่านยินดีต้อนรับพวกเขาในฐานะแขกผู้มีเกียรติด้วยความอบอุ่นและเกียรติยศของท่าน พระจันทน์ที่ทอแสงนวลผ่องบ่งบอกถึงไมตรีจิต ความเมตตา และความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อชีอะฮฺ บางครั้งท่านเยี่ยมเยียนบรรดาผู้เจ็บป่วยและให้ความอนุเคราะห์แก่พวกเขาด้วยมือของท่าน บางครั้งท่านแนะนำทางแก่ผู้เดินทางที่หลงทางอยู่กลางทะเลทราย ให้ความเอ็นดูแก่ผู้ไร้ญาติขาดมิตร ให้ความเป็นเพื่อนแก่ผู้ที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยว ให้ความหวังแก่ผู้หมดหวัง ให้ความอบอุ่นแก่หัวใจของผู้ที่รอคอย อิมามคือสายฝนแห่งเมตตาที่ให้ความชุ่มชื่นและความเขียวขจีแก่ท้องทุ่งที่แห้งแล้ง อิมามวิงวอนให้ชีอะฮฺเสมอว่า
يَانُوْرَ النُّوْرِ يَامُدَبِّرَ الْاُمُوْرِ يَابَاعِثَ مَنْ فِى الْقُبُوْرِ صَلِّ عَلَى مُحَمَّدٍ وَآلِ مُحَمَّدٍ وَاجْعُلْ لِى وَلِشٍيْعًتِي مِنَ الضَّيْقِ فَرَجًا وَمِنَ الْهُمِّ مَخْرَجًا وَ اَوسِعْ لَنَا المَنْهَجَ وَاطلق لَنَا مِنْ عِنْدِكَ مَا يُفَرِّجُ وَافْعَلْ بِنَا مَا اَنْتَ اَهْلُهُ يَاكَريْم
โอ้ รัศมีแห่งรัศมีอันเรืองรอง โอ้ พระผู้บริบาลทุกกิจการ โอ้ พระผู้ให้ชีวิตแก่ผู้ที่ตาย โปรดประสาทพรแด่มุฮัมมัดและลูกหลานของมุฮัมมัด โปรดให้ความกว้างไพศาลในความคับแคบแก่ฉันและชีอะฮฺของฉัน โปรดให้ทางออกแก่ความทุกข์ระทม โปรดขยายแนวทาง (การชี้นำ) ให้กว้างไกลแก่เรา โปรดเิปิดทางแก่เรา ทางซึ่งพระองค์ทรงเปิด ณ พระองค์ โปรดปฏิบัติแก่เราในสิ่งที่พระองค์เห็นสมควร โอ้ พระผู้ทรงเมตตา[15]
สิ่งที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าการมีอยู่ของอิมามแม้ว่าจะอยู่ในสภาพของการเร้นกาย ก็สามารถติดต่อได้ซึ่งขึ้นอยู่กับความสะอาดบริสุทธิ์ของบุคคลนั้น ส่วนบุคคลที่มีความเหมาะสมและมีคุณงามความดี เพียงพอ นอกจากจะได้ติดต่อกับอิมามแล้วยังมีความสุขที่ได้ร่วมทาง และเป็นผู้ช่วยเหลืออิมามอีกต่างหาก
[1] อัลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 201
[2] อิฮฺติยาฏ เล่ม 2 ลำดับที่ 344 หน้าที่ 542
[3] ดุอาอฺอะดีละฮฺ
[4] อิฮฺติยาฏ เล่มที่ 2 ลำดับที่ 359 หน้าที่ 598
[5] บิอารุลอันวารเล่มที่ 52 หน้าที่ 178
[6] อัล-กุรอาน บทอัตเตาบะฮฺ โองการที่ 105
[7] อัลกาฟีย์ เล่มที่ 1 หมวดการนำเสนอการกระทำ หน้าที่ 171
[8] กะมาลุดดีน เล่มที่ 2 หมวดที่ 45 หน้าที่ 235 / 286
[9] อ้างแล้วเล่มเดิม ฮะดีซที่ 4 หน้าที่ 237
[10] บิฮารุลอันวาร เล่มที่ 52 หน้าที่ 174
[11] อิซบาตรตุลฮุดา เล่มที่ 3 ฮะดีซที่ 112 หน้าที่ 463
[12] กะมาลุดดีน เล่มที่ 2 หมวดที่ 45 ฮะดีซที่ 4 หน้าที่ 239
[13] อัล-กุรอาน บทอันฟาล โองการที่ 33
[14] กะมาลุดดีน เล่มที่ 2 หมวดที่ 43 ฮะดีซที่ 12 หน้าที่ 171
[15] มุนตะค็อบบุลอะซัร ภาคที่ 10 หมวดที่7 ลำดับที่ 6 หน้าที่ 658