') //-->
อิมามผู้บริสุทธิ์ท่านที่ 12 ท่านฮุจญะติบนิลฮะซัน อัลมะฮฺดียฺ (อ.) ท่านอิมามประสูติเมื่อวันที่ 15 ชะอฺบาน ปี ฮ.ศ.255 ที่เมืองซามิรออฺ[1]
ฉายานามของท่านคือ อบุลกอซิม บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ท่านอื่นปฏิเสธที่จะเรียกนามจริงของท่าน[2]
ฉายานามหรือชื่อเล่นของอิมามคือ ฮุจญัติ กออิม คัลฟุซอลิฮฺ ซอฮิบุซซะมาน บะกียะตุลลอฮฺ และที่ถูกเรียกจนที่มักคุ้นที่สุดคือ มะฮฺดียฺ
บิดาของท่านอิมามคือ ท่านอิมามฮะซัน (อ.) อิมามท่านที่ 11 แห่งสายธารชีอะฮฺอิมามียะฮฺ
มารดาของท่านคือ สตรีที่ทรงเกียรตินามว่า นัรญิซ หรือ รอยฮานะฮฺ ซูซัน หรือเซาะฟีล เกียรติยศที่สูงศักดิ์ และสภาพจิตใจที่สูงส่งของท่านหญิงที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีถึงขั้นที่ว่า ท่านหญิงฮะกีมมะฮฺ น้องสาวของท่านอิมามฮาดียฺ (อ.) นำตัวท่านหญิงนัรญิซไปเลี้ยงดูที่บ้านในฐานะของหญิงรับใช้คอยช่วยเหลือนางที่บ้าน
ท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ได้เร้นกาย 2 ช่วง ๆ แรกเป็นช่วงสั้น ๆ ประมาณ 70 ปี เรียกว่าการเร้นกายช่วงสั้น (ฆอยบัตซุฆรอ) และอีกช่วงเป็นการเร้นกายระยะยาว (ฆอยบัตกุบรอ) การเร้นกายช่วงสั้นเริ่มตั้งแต่ถือกำเนิดและสิ้นสุดแค่ตัวแทนคนสุดท้ายของท่าน ส่วนการเร้นกายช่วงที่สองเริ่มตั้งแต่สิ้นสุดตัวแทนคนสุดท้ายจวบจนถึงปัจจุบัน และจนกระทั่งถึงช่วงการปรากฏกายอีกครั้งตามพระประสงค์ของพระองค์ ซึ่งไม่มีบุคคลใดทราบว่าจะนานสักเท่าใด
การถือกำเนิดของท่านอิมามตามทัศนะของอะละมาอฺซุนนียฺ
ความเชื่อเรื่องมะฮฺดียฺไม่ได้เจาะจงเฉพาะชีอะฮฺเท่านั้น ทว่าตามริวายะฮฺที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวไว้เป็นที่ชัดเจนว่าแม้อุละมาอฺฝ่ายซุนนะฮฺก็ยอมรับเรื่องดังกล่าว เพียงแต่ว่าอุละมาอฺฝ่ายซุนนียฺบางท่านปฏิเสธเรื่องการประสูติของท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า บุคคลที่ท่านศาสดาได้กล่าวว่าเขาจะยืนหยัดขึ้นมา (หลังจากการเร้นกาย) ปัจจุบันยังไม่ได้จุติขึ้นมา ซึ่งจะประสูตในอนาคตกาล[3]
ฉะนั้น จะเห็นวานักประวัติศาสตร์อะฮฺลิซซุนนะฮฺได้บันทึกการประสูติของท่านอิมาม (อ.) ไว้ในตำราของตนและยอมรับว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง และนักค้นคว้าบางท่านได้แนะนำถึงนักประวัติศาสตร์เหล่านั้นมากเกินกว่า 100 ท่าน[4]
ถือกำเนิดอย่างไร
รายงานจำนวนมากจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า จะมีบุรุษผู้หนึ่งนามว่า มะฮ์ดีย์ มาจากครอบครัวของฉัน เขาจะลุกขึ้นต่อสู้ และขจัดอธรรมให้หมดไปจากโลก ผู้ปกครองที่กดขี่ข่มเหงแห่งราชวงศ์อับบาซีย์ เมื่อได้ยินเช่นรายงานกล่าวเช่นนั้น พวกเขาเฝ้าติดตามการถือกำเนิดของเด็กน้อยนามว่ามะฮ์ดีย์ เพื่อต้องการสังหารเสียแต่ยังเล็กอยู่จะได้ไม่มีปัญหากับพวกเขาในภายหลัง ฉะนั้น จะเห็นว่าตั้งแต่สมัยของท่านอิมามญะวาด (อ.) วิถีชีวิตของบรรดาอิมามถูกกำหนดให้อยู่ในขอบเขตจำกัด จนกระทั่งถึงยุคของท่านอิมามฮะซัน อัซการีย์ สภาวการณ์ดังกล่าวได้ตรึงเครียดมากยิ่งขึ้น จนถึงจุดอิ่มตัวถึงขั้นที่ว่ามีการไปมาหาสู่บ้านอิมามน้อยมาก โดยธรรมชาติของสถานการณ์ที่บีบบังคับเช่นนั้น การถือกำเนิดของท่านอิมามมะฮ์ดีย์ (อ.) ข้อพิสูจน์สุดท้ายของพระเจ้า ก็ต้องปิดบังไปโดยปริยาย ดังนั้น แม้แต่บรรดาสาวกที่ใกล้ชิดของอิมามฮะซัน อัซการีย์ (อ.) เองก็ไม่ทราบข่าวการถือกำเนิดของอิมาม และท่านหญิงนัรญิซมารดาของท่านอิมามมะฮ์ดีย์ (อ.) ก็มิได้แสดงอาการของคนตั้งครรค์แต่อย่างใด
ท่านหญิงฮะกีมะฮฺ บุตรีของท่านอิมามญะวาด (อ.) กล่าวถึงการถือกำเนิดของท่านอิมามมะฮ์ดีย์ (อ.) ดังนี้ว่า
ท่านอิมามฮะซัน อัซการีย์ (อ.) ได้ส่งคนมาหาฉันเพื่อส่งข่าวแก่ฉันว่า คุณอาวันนี้ฉันขอเชิญละศีลอดที่บ้าน เนื่องจากเป็นวันที่ 15 เดือนชะอ์บานพอดี และในค่ำคืนนี้พระเจ้าจะประทานข้อพิสูจน์สุดท้ายของพระองค์ แก่ประชาโลก ฉันถามว่า มารดาของเขาเป็นใคร
อิมาม (อ.) ตอบว่า นัรญิซคอตูน ฉันกล่าวด้วยความแปลกใจว่า ฉันไม่เคยเห็นครรภ์ของนางเลย
อิมาม (อ.) กล่าวว่า ดังที่ฉันบอกกับอานั่นแหละ หลังจากนั้นฉันได้เข้าไปหาท่านหญิงนัรญิซ และกล่าวสลามให้นาง พร้อมกับนั่งลงใกล้ ๆ นาง ท่านหญิงพยายามเข้ามาใกล้ ๆ ฉัน นางจับมือฉัน และกล่าวแก่ฉันว่า โอ้นายหญิงของฉันท่านสบายดีหรือ
ฉันกล่าวแก่ท่านหญิงนัรญิซว่า ไม่ใช่ องค์หญิงต่างหากที่เป็นนายหญิงของพวกเรา และเป็นนายหญิงของครอบครัวของเรา นางไม่ยอมรับคำพูดของฉัน แต่กลับกล่าวแก่ฉันว่า โอ้ท่านอา ท่านพูดอะไรออกมา
ฉันกล่าวว่า โอ้บุตรีของฉัน คืนนี้พระผู้เป็นเจ้าจะประทานบุตรชายแก่เธอ เขาจะให้ความสดใส และความสุดแก่โลกนี้และโลกหน้า เมื่อได้ยินเช่นนั้นเธอได้เขินอาย
ท่านหญิงฮะกีมะฮฺ กล่าวอีกว่า หลังจากนมาซอิชาอ์ ฉันได้ละศีลอด และนอนพักอยู่บนเตียงของฉัน เวลาผ่านไปประมาณครึ่งคืน ฉันได้ลุกขึ้นเพื่อนมาซยามค่ำคืน เมื่อนมาซเสร็จฉันเห็นท่านหญิงนัรญิซ นอนหลับสนิทอยู่ โดยไม่มีท่าทีว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับนาง หลังจากอ่านดุอาอ์หลังนมาซเสร็จสิ้น ฉันได้เผลอหลับไป และสะดุ้งตื่นขึ้นมาเห็นท่านหญิงนัรญิซ กำลังนอนหลับเช่นเคย หลังจากนั้นไม่นานเธอได้ตื่นขึ้นเพื่อนมาซยามค่ำคืน เมื่อนมาซเสร็จเธอได้นอนหลับไป
ท่านหญิงฮะกีมะฮฺ กล่าวอีกว่า ฉันได้เดินออกมาข้างนอกเพื่อสำรวจท้องฟ้าหาแสงรุ่งอรุณ ฉันสังเกตเห็นแสงสีเงินแรก (แสงเงินที่มองเห็นก่อนอะซานซุบฮฺเล็กน้อย) ขณะที่ท่านหญิงนัรญิซยังนอนหลับอยู่ ฉันเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางหรือไม่ ขณะที่ฉันกำลังอ่านอัล-กุรอานบทอัซซัจญ์ดะฮ์ และยาซีนอยู่นั้น ทันใดฉันก็ได้ยินเสียงร้องเรียกของท่านอิมามฮะซัน อัซการีย์ (อ.) ว่า โอ้ท่านอา รีบเข้ามาเถิด นัรญิซกำลังจะคลอด ฉันรีบเข้าไปอย่างรวดเร็วเห็นท่านหญิงนัรญิซกำลังเจ็บครรภ์ ฉันกล่าวว่า ขอให้พระนามของอัลลอฮฺ ทรงคุ้มครองเธอ ฉันถามเธอว่า รู้สึกเจ็บหรือไม่ ตอบว่า ใช่แล้ว อาฉันรู้สึกเจ็บมาก ฉันกล่าวว่า จงควบคุมสติให้ดี นี่คือสิ่งที่ฉันบอกแก่เธอก่อนหน้านี้ เวลานั้นฉันและท่านหญิงนัรญิซรู้สึกอ่อนเพลียมาก แต่ไม่นานนักฉันก็ได้ยินเสียงร้องของทารกแรกเกิด ฉันเตรียมผ้าพร้อมที่ห่อทารกน้อย ขณะนั้นฉันเห็นทารกกำลังอยู่ในท่าซัจญ์ดะฮ์ฺต่อพระเจ้า ฉันได้อุ้มทารกขึ้นมาพบว่าเนื้อตัวของเขาสะอาดและหอมกรุ่นไปหมด
ขณะนั้นท่านอิมามฮะซัน อัซการีย์ (อ.) ได้เรียกฉันและกล่าวกับฉันว่า โอ้ท่านอาโปรดนำบุตรชายของฉันมาให้ฉันเถิด ฉันอุ้มอิมามมะฮฺดีย์ ไปให้ท่านอิมามฮะซัน อัซการีย์ ท่านอิมามได้กอดบุตรชายด้วยความรักและหวงแหน และกล่าวว่า โอ้ลูกรักเจ้าจงพูดออกมา ฉันเห็นริมฝีปากของอิมามขยับพร้อมกับกล่าวว่า ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีสิ่งใดร่วมปนกับพระองค์ ฉันขอปฏิญาณว่ามุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์ หลังจากนั้นอิมามได้กล่าวขอความสันติให้อิมามอะลี อมีรุลมุอ์มินีน และบรรดาอิมามท่านอื่น ๆ จนถึงท่านอิมามฮะซัน อัซการีย์ (อ.) หลังจากนั้นอิมามได้สั่งให้ฉันนำทารกไปส่งคืนให้มารดา เพื่อเขาจะได้กล่าวสลามแก่มารดา
ท่านหญิงฮะกีมะฮฺ กล่าวอีกว่า วันรุ่งขึ้นฉันได้ไปบ้านอิมามฮะซัน อัซการีย์ (อ.) เพื่อเยี่ยมอิมาม เมื่อฉันกล่าวสลามแล้ว ฉันได้เปิดผ้าม่านออกเพื่อชมอิมาม แต่ฉันไม่พบอิมาม ฉันจึงถามบิดาผู้ทรงเกียรติของท่านด้วยความเป็นห่วงว่า เมาลาของฉันเป็นอะไรหรือไม่ อิมาม (อ.) ตอบว่า โอ้ท่านอาฉันได้มอบไว้แด่พระเจ้า ดังที่มารดาของมูซา (อ.) ได้มอบมูซาแก่พระองค์
ท่านหญิงฮะกีมะฮฺ กล่าวอีกว่า เมื่อย่างเข้าวันที่เจ็ด ฉันได้มาบ้านอิมาม (อ.) อีกครั้งเมื่อกล่าวสลามแล้ว ฉันได้นั่งลง อิมามฮะซัน อัซการีย์ (อ.) สั่งให้นำอิมามมะฮ์ดีย์มาให้ท่าน หลังจากนั้นท่านสั่งว่า โอ้ลูกรักจงพูดออกมา หลังจากนั้นฉันเห็นริมฝีปากของอิมามขยับ เมื่อกล่าวปฏิญาณยืนยันความเป็นเอกะของพระเจ้า สภาวะการเป็นศาสดา และกล่าวประสาทพรบรรดาอิมามก่อนหน้านั้น หลังจากนั้นท่านอ่านโองการนี้ว่า
وَنُرِيدُ أَن نَّمُنَّ عَلَى الَّذِينَ اسْتُضْعِفُوا فِي الْأَرْضِ وَنَجْعَلَهُمْ أَئِمَّةً وَنَجْعَلَهُمُ الْوَارِثِينَ وَنُمَكِّنَ لَهُمْ فِي الْأَرْضِ وَنُرِي فِرْعَوْنَ وَهَامَانَ وَجُنُودَهُمَا مِنْهُم مَّا كَانُوا يَحْذَرُونَ
และเราปรารถนาที่จะให้ความโปรดปรานแก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอในแผ่นดิน และเราจะทำให้พวกเขาเป็นผู้นำ และทำให้พวกเขาเป็นผู้สืบทอด และเราได้ให้พวกเขาปกครองแผ่นดิน และเราจะให้ฟิรเอาน์ และฮามานตลอดจนไพร่พลของเขาทั้งสอง ได้เห็นสิ่งที่พวกเขามีความกลัว[5]
คุณสมบัติของอิมาม (อ.)
รายงานจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และบรรดาอะฮฺลุบัยต์ (อ.) จำนวนมากมายกล่าวถึงคุณลักษณะของอิมามมะฮ์ดีย์ (อ.) เอาไว้ แต่ ณ ที่นี้จะขอกล่าวบางส่วนเท่านั้น เช่น กล่าวว่า
อิมามมะฮ์ดีย์ (อ.) เป็นผู้มีใบหน้าสวยงาม หน้าผากกว้าง คิ้วโค้งเป็นรูปเดือนเสี้ยว ดวงตาดำสนิทส่องประกาย จมูกโด่งเป็นสันยาว ฟันเรียงสวยและขาวเป็นประกายมุข หัวไหล่ด้านขวามีไฝสีดำ ระหว่างหัวไหล่ทั้งสองมีสัญลักษณ์คล้ายสัญลักษณ์ของนบูวัต อิมามมีร่างกายสูงใหญ่สมส่วน
คุณลักษณะบางประการของอิมาม (อ.) ทราบได้จากคำอธิบายของอิมามท่านอื่น เช่น
กล่าวว่า อิมามมะฮ์ดีย์ (อ.) เป็นผู้ดำรงการเคารพภักดีเสมอ มีความยำเกรงและใช้ชีวิตเรียบง่าย มีความอดทนสูง มีความยุติธรรม และประพฤติดี อิมามจะมาพร้อมกับความรู้และวิชาการที่สร้างความตะลึงงันแก่ชาวโลก เป็นผู้ยืนหยัด เป็นผู้นำโลก เป็นผู้เปลี่ยนแปลงโลก เป็นผู้ปลดปล่อยโลกจากอธรรมความชั่ว ผู้ถูกสัญญาให้เป็นผู้ปรับปรุงแก้ไขโลกมนุษย์ อิมามเป็นทายาทของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และเป็นบุตรของฟาฏิมะฮฺ (อ.) เป็นทายาทคนที่เก้าของท่านซัยยิดุชชุฮะดา (อ.) ท่านจะปรากฏกายข้างบัยตุลลอฮฺ มือข้างหนึ่งจะถือธงของท่านศาสดา ท่านยืนหยัดเพื่อฟื้นฟูศาสนาของพระเจ้า และเพื่อนำบัญญัติของพระเจ้าขึ้นปกครองโลก ท่านจะสถาปนาโลกให้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและความยุติธรรม ดั่งที่โลกเคยเปี่ยมไปด้วยความอยุติธรรม[6]
สภาพชีวิตของท่านอิมามมะฮ์ดีย์ (อ.) แบ่งออกเป็น 3 ช่วงดังนี้
1. ช่วงที่ลำบากที่สุด หมายถึงช่วงที่อิมาม (อ.) ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ นับตั้งแต่วันที่ท่านประสูติจนกระทั่งถึงวันที่อิมามฮะซัน อัซการีย์ (อ.) ชะฮีด
2. ช่วงของการเร้นกาย เริ่มตั้งแต่วันที่อิมามฮะซันอัซการีย์ (อ.) ชะฮีด จนกระทั่งถึงวันที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ปรากฏกายอีกครั้ง
3. ช่วงของการปรากฏกาย หลังจากการเร้นกายที่ยาวนาน ท่านจะปรากฏกายอีกครั้งหนึ่งตามพระประสงค์ของพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก และจะสถาปนาความยุติธรรมขึ้นปกครองโลก พร้อมกับทำให้โลกเปี่ยมไปด้วยคุณงามความดี และความสวยงาม ไม่มีบุคคลสามารถทราบได้ว่า อิมาม (อ.) จะปรากฏกายเมื่อใด ดังที่อิมามมะฮ์ดีย์ (อ.) กล่าวว่า บุคคลใดกำหนดวันปรากฏกายให้กับฉัน เขาได้พูดโกหก[7]
[1] นามของท่านเหมือนกับนามของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) (มุฮัมมัด)
[2] ท่านชัยคฺกุลัยนียฺ กล่าวไว้ในอุซูลกาฟียฺ เล่ม 1 หน้า 332 มัจลิซซียฺ กล่าวไว้ในบิฮารุลอันวาร เล่ม 51 หน้า 31-34 กล่าวว่าสาเหตุที่บรรดาอิมามท่านอื่นปฏิเสธที่จะเรียกนามจริงของท่านอิมาม สาเหตุหลักคือการเมือง และเกี่ยวข้องกับช่วงการเร้นกายระยะสั้น ซึ่งการไม่กล่าวเรียกนามจริงนั้นถูกห้ามจนถึงวันกิยามะฮฺหรือไม่ นักปราชญ์ฝ่ายชีอะฮฺมีทัศนะขัดแย้งกัน
[3] อิบนุ อบิลฮะดีด ชัรฮฺนะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ พิมพ์ที่ดารุลอะฮฺยา อัลกุตุบอาเราะบียะฮฺ ค.ศ. 1964 เล่ม 7 หน้า 94, เล่ม 10 หน้า 96
[4] ฟะกีฮฺ อีมานียฺ มะฮฺดียฺ มะฮฺดียฺมุนตะซัรในนะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ ,เอซฟาฮานียฺ ห้องสมุดทั่วไปอะมีรุลมุอฺมินีน หน้า 23, 39, อิบนุฮะญัร ฮัยตัมมียฺ, อัซเซาะวาอิกุลมะฮฺเราะเกาะฮฺ พิมพ์ครั้งที่ 2 อียิปต์ ปี ฮ.ศ.ที่ 208, อิบนุกะซีร อัลกามิล ฟิตตารีค เบรุต,ดาร ซอดิร เล่ม 7 หน้า 274
[5] อัล-กุรอาน บท อัลเกาะซ็อซ โองการที่ 5 / 6
[6] มุนตะค็อบบุลอะซัร ภาคที่ 2 จากหน้า 239 - 383
[7] อิฮ์ติยาจญ์ เล่ม 2 ฮะดีซลำดับที่ 344 หน้า 542